วันนี้ ได้มีการแจ้งรายละเอียดการทดลองวิจัยอย่างเป็นทางการครบถ้วนแล้ว แต่อาจต้องทำความเข้าใจในรายละเอียดของวิธีการฉีด และตัวเลขการวิจัยเพิ่มเติม ก็จะเข้าใจบริบททั้งหมดของประสิทธิภาพวัคซีนตัวนี้ครับ
1) 100% หมายความว่า วัคซีนป้องกันไม่ให้เกิดอาการของโควิดที่ระดับปานกลาง(Moderate) และรุนแรง(Severe)ได้ 100% ครบถ้วน
2) 78%( จริงๆคือ 77.96%) เป็นประสิทธิภาพในการป้องกันอาสาสมัครทั้งกลุ่มที่มีอาการเพียงเล็กน้อย (Mild) รวมปานกลางและรุนแรงด้วย เป็นการป้องกันการต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล มีประโยชน์คือลดภาระของบุคลากรและระบบสาธารณสุข
3) 50.4% คือการป้องกันการติดเชื้อทุกรูปแบบรวมทั้งที่มีอาการน้อยมาก (Very mild)
ประการต่อไป การวิจัยนี้มีลักษณะเฉพาะคือ การทดลองใช้อาสาสมัครในกลุ่มเสี่ยงมาก คือ 13,000 คนนั้นเป็นบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมด
แตกต่างจากการทดลองในอาสาสมัครของบริษัท
ไฟเซอร์และโมเดิร์นนา ที่ทดลองในกลุ่มประชากรทั่วไป อาสาสมัครจึงมีความเสี่ยงที่จะสัมผัสไวรัสน้อยกว่าของบริษัท Sinovac
ซึ่งจะส่งผลกระทบกับตัวเลขประสิทธิภาพของวัคซีนได้ คือในกรณีกลุ่มเสี่ยงมาก บุคลากรทางการแพทย์ จะต้องสัมผัสผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยจำนวนมากอยู่ตลอดเวลา และผู้ป่วยก็จะมีปริมาณไวรัสในตัวเองสูงด้วย
โอกาสที่จะทำให้บุคลากรติดเชื้อก็จะมีสูงกว่าอาสาสมัครที่เป็นประชาชนทั่วไป ที่จะไปสัมผัสผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย เพราะปริมาณไวรัสน้อยกว่า
ตารางการฉีดที่แตกต่างกัน
วัคซีน Sinovac นั้นใช้ตารางฉีดห่างกันสองสัปดาห์(14วัน) แล้วติดตามผลว่า ป้องกันได้กี่คน
ในขณะที่ของไฟเซอร์และโมเดิร์นนา ฉีดห่างกัน 21 วันและ 28 วัน ตามลำดับ จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ระดับภูมิต้านทานของวัคซีนในงานวิจัยของสองบริษัทสหรัฐฯขึ้นสูงกว่า จึงป้องกันได้มากกว่า
ส่วนผลการรายงานด้านผลข้างเคียงของวัคซีน พบว่าเกิดขึ้นน้อยมาก และส่วนใหญ่เป็นเพียงปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว และอาการก็ไม่รุนแรง ส่วนผลข้างเคียงชนิดรุนแรงก็ไม่พบเลย
การทดลองอาสาสมัครของวัคซีน Sinovac เท่าที่รายงานมาแล้วในสามประเทศได้แก่ บราซิล ตุรกีและอินโดนีเซีย
แม้จะกำหนดฉีดวัคซีนตัวเดียวกัน ขนาดเท่ากัน และระยะห่างสองสัปดาห์เหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ กลุ่มประชากรที่ใช้ในการทดลอง ซึ่งเป็นไปตามลักษณะสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงแตกต่างกันของทั้งสามประเทศดังกล่าว
จึงทำให้มีตัวเลขประสิทธิภาพของการป้องกันโรค ในการศึกษาทดลองของประเทศต่างๆ แตกต่างกัน
ความสำคัญของวัคซีนโควิด-19 คือ การป้องกันการเสียชีวิตจากอาการป่วยที่รุนแรง
วัคซีน Sinovac ที่บราซิล พบมีอาการติดโควิดอย่างรุนแรงเจ็ดราย ซึ่งทั้งหมดอยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนหรือใช้ยาหลอก
ส่วนที่ตุรกีก็ทำนองเดียวกัน มีผู้ป่วยรุนแรงหกราย ทั้งหมดเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน
กล่าวคือผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน ไม่มีผู้ใดติดโควิดแล้วป่วยรุนแรงเลยแม้แต่รายเดียว คิดเป็น 100%ป้องกันความรุนแรงได้
ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ ตารางกำหนดการฉีด ในการทดลองที่บราซิลครั้งนี้ ได้มีการแบ่งกลุ่มอาสาสมัครออกมา 1394 คน จากอาสาสมัคร 13,000 คน ซึ่งเป็นส่วนน้อย มาฉีดแบบกำหนดเป็นห่างกันสามสัปดาห์หรือ 21 วัน
พบว่าประสิทธิภาพในการป้องกันโรคของการฉีดวัคซีนแบบนี้ สูงกว่าฉีดห่างกัน 14 วัน ถึง 20%
ซึ่งทางบริษัทและสถาบันวิจัยที่บราซิล ได้ทำการคาดคะเนว่า ถ้าวัคซีนของบริษัทฉีด 21 วันหรือ 28 วัน น่าจะมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
มีการยกข้อมูลมาเปรียบเทียบกับการทดลองวัคซีนโรคเอดส์ว่า เมื่อทดลองในประเทศที่มีประชากรเสี่ยงสูงเป็นจำนวนมาก วัคซีนก็จะป้องกันมีประสิทธิภาพได้น้อยลง
เมื่อไปทดลองในประเทศที่ประชากรเสี่ยงต่ำ ก็จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้สูงขึ้น
โดยทางบริษัทได้ยกตัวเลขของบริษัทไฟเซอร์และ โมเดิร์นนา ที่มีกลุ่มยาหลอกหรือไม่ได้ฉีดวัคซีน ติดเชื้อ 7.29% และ 3.34% ตามลำดับ ซึ่งเป็นค่าที่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยการติดเชื้อของประชาชนสหรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน
เป็นตัวเลขที่น่าสนใจว่า กลุ่มประชากรที่ทดลองวัคซีนของสองบริษัทดังกล่าว เป็นกลุ่มประชากรที่ติดเชื้อน้อย
ในขณะที่กลุ่มประชากรของบริษัท Sinovac ในบราซิล เป็นกลุ่มที่มีอัตราการติดเชื้อเฉลี่ยสูงกว่าสามและหกเท่าตามลำดับ
โดยสรุป
วัคซีนของบริษัท Sinovac ประเทศจีนใช้เทคโนโลยีเชื้อตาย ซึ่งเคยผลิตวัคซีนให้กับมนุษย์เรามาหลายชนิดหลายสิบปีแล้ว จึงมีความปลอดภัยในระดับสูงจากเรื่องเทคโนโลยี
วัคซีนเก็บที่อุณหภูมิตู้เย็นธรรมดาคือ 2-8 องศาเซลเซียส ทำให้สะดวกในการขนส่งและกระจายวัคซีนออกไปฉีดทั่วประเทศ
ส่วนเรื่องประสิทธิภาพที่มีตัวเลขแตกต่างกัน
ก็เป็นการแถลงตัวเลขที่ลงรายละเอียดว่า
ถ้าป้องกันอาการรุนแรงได้ 100%
ป้องกันอาการเล็กน้อยได้ 78%
และป้องกันการติดเชื้อได้ 50%
ซึ่งทางบริษัทพยายามอธิบายถึงสาเหตุที่ตัวเลขค่อนข้างน้อยว่า มาจากตารางการฉีดที่กำหนดไว้ 14 วันอาจจะสั้นเกินไป เมื่อฉีดเป็น 21 วัน ประสิทธิภาพสูงเพิ่มขึ้นอีก 20%
และทางบริษัทยังพยายามยกตัวเลขเทียบเคียงว่าการทดลองในกลุ่มประชากรเสี่ยงสูง คือบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อสูงกว่าประชาชนทั่วไป สามถึงหกเท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มอาสาสมัครของบริษัทในสหรัฐฯ อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประสิทธิภาพการป้องกันวัคซีนมีตัวเลขที่แตกต่างกัน
ผู้เขียนคิดว่า ทางบริษัท Sinovac ควรจะเร่งทำการทดลองฉีดวัคซีนใน
กลุ่มประชากรทั่วไป ไม่ใช่ฉีดเฉพาะในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์
และฉีดด้วยตาราง 21 วันหรือ 28 วัน ให้เหมือนกับบริษัทไฟเซอร์และโมเดิร์นนา
แล้วนำตัวเลข สถิติข้อมูลการศึกษาวิจัยมาแถลงอีกครั้ง ก็จะทำความชัดเจนได้มากยิ่งขึ้นครับ