วันศุกร์, พฤศจิกายน 14, 2025
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกบทความ-ความเห็นกับดักหนี้ของฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และอเมริกา … ส่องชะตากับดักหนี้ไทย

กับดักหนี้ของฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และอเมริกา … ส่องชะตากับดักหนี้ไทย

เผยแพร่

spot_img

1) ฝรั่งเศส: ดอกเบี้ยที่กัดกินอนาคต

หนี้สาธารณะฝรั่งเศสพุ่งทะลุ 114% ของ GDP หรือกว่า 3.3 ล้านล้านยูโร—ตัวเลขที่สูงกว่ามูลค่าที่ประเทศผลิตได้ในหนึ่งปีเสียอีก

สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือ “โครงสร้างหนี้” ที่กำลังผูกประเทศทั้งประเทศไว้กับดอกเบี้ย

ทุกปี รัฐบาลฝรั่งเศสต้องกันงบประมาณกว่า 2% ของ GDP เพียงเพื่อจ่ายดอกเบี้ย—เงินมหาศาลที่ไม่เคยสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล หรือโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ เลยแม้แต่ยูโรเดียว

ต่างจากญี่ปุ่นที่เจ้าหนี้ส่วนใหญ่เป็นคนในประเทศ ฝรั่งเศสกลับพึ่งพานักลงทุนต่างชาติกว่าครึ่งหนึ่ง ความเปราะบางจึงสูงขึ้นหลายเท่า เมื่อไรที่ตลาดโลกสะดุด เมื่อนั้นคือจุดเสี่ยงระเบิดหนี้ทันที

และที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือการเมืองที่เล่นแต่เกมสั้น ประชานิยมรัฐสวัสดิการถูกใช้เป็นเครื่องมือรักษาคะแนนเสียง มากกว่าการรักษาเสถียรภาพระยะยาวของชาติ สุดท้ายฝรั่งเศสจึงกำลังเดินบนเส้นทางที่กรีซเคยล้มลงเมื่อปี 2010—เพียงแต่ครั้งนี้ ถ้า “ฝรั่งเศสล้ม” ทั้งยูโรโซนอาจสั่นสะเทือน

2) ญี่ปุ่น: มหาเศรษฐีที่ถูกขังในบ้านตัวเอง

ญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะสูงที่สุดในโลก—เกิน 250% ของ GDP ตัวเลขที่ทำให้ประเทศอื่นล้มไปแล้วหลายรอบ แต่ญี่ปุ่นยังยืนอยู่ได้ เพราะกว่า 90% ของหนี้นั้นถือโดยประชาชนญี่ปุ่นเอง

นี่คือ กับดักเยน: ประเทศที่ใช้เงินออมมหาศาลของประชาชนมาหล่อเลี้ยงรัฐ โดยแลกกับการอยู่ในสภาวะเงินฝืด การเติบโตต่ำ และประชากรสูงวัยมายาวนาน

ญี่ปุ่นไม่ได้ “ระเบิด” เหมือนกรีซหรือเสี่ยง “จุดล้มละลาย” แบบฝรั่งเศส แต่ถูก “กักขัง” อยู่ในโซ่ตรวนหนี้ที่ยาวนานเกินสามทศวรรษ—ประเทศที่ไม่ล้มแต่ก็ไม่โต ประเทศที่ยังหายใจ แต่ไม่ก้าวไปข้างหน้า

3) อเมริกา: จักรวรรดิที่เป็นหนี้ด้วยเงินของโลก

อเมริกามีหนี้สาธารณะกว่า 34 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่า 120% ของ GDP แต่กลับยังเป็นประเทศที่กู้เงินได้ไม่รู้จบ

ความต่างคือ ดอลลาร์—เงินของโลกที่ทุกประเทศต้องถือเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ หนี้ของอเมริกาจึงถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” โดยปริยาย

แต่กับดักจริงของอเมริกา คือการใช้หนี้เพื่อเลี้ยงจักรวรรดิ—กองทัพ, ฐานทัพ, และสงครามทั่วโลก วันใดที่ดอลลาร์ถูกท้าทายจากหยวนหรือ BRICS หนี้ของอเมริกาจะไม่ใช่เสาหลักจักรวรรดิอีกต่อไป แต่กลายเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจุดชนวนการล่มสลายของ Pax Americana

4) ไทย: เงาของทั้งสามกับดักรวมกัน

ไทยในวันนี้คือเงาสะท้อนผสมระหว่างฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และอเมริกา แต่ไร้ภูมิคุ้มกันใด ๆ

หนี้ครัวเรือนสูงเกือบ 90% ของ GDP → คนไทยจำนวนมากใช้ชีวิตเหมือนฝรั่งเศส คือทำงานเพื่อจ่ายดอกเบี้ยบ้าน รถ และบัตรเครดิต มากกว่าสร้างอนาคต

หนี้สาธารณะพุ่งขึ้นทุกปี → รัฐบาลใช้หนี้เพื่ออุดหนุนประชานิยมคล้ายฝรั่งเศส แต่การเมืองไร้เสถียรภาพมากกว่า

เศรษฐกิจโตต่ำและประชากรแก่ตัวเร็ว → เส้นทางเดียวกับญี่ปุ่น แต่เราไม่มีทุนสะสมมหาศาลแบบเขา

การพึ่งพาตลาดเงินโลกสูง → ต่างชาติถือพันธบัตรไทยจำนวนไม่น้อย แต่เงินบาทไม่ใช่สกุลโลกแบบดอลลาร์ ไม่มีเกราะป้องกันเหมือนอเมริกา

กล่าวอีกแบบ ไทยคือ “ประเทศเล็กที่รับกับดักทั้งสามแบบมาพร้อมกัน แต่ไม่มีภูมิคุ้มกันแบบใดเลย”

5) สัญญาณเตือน 7 ประการของกับดักหนี้ไทย

1. หนี้ครัวเรือนกลืนอนาคตคนรุ่นใหม่

2. รัฐบาลใช้หนี้เพื่อซื้อเวลาทางการเมือง

3. ระบบสวัสดิการที่ยังไม่ยั่งยืน แต่ถูกอัดด้วยหนี้

4. เศรษฐกิจโตต่ำเข้าสู่กับดักญี่ปุ่น แต่ไร้ทุนสะสม

5. ความเปราะบางค่าเงิน–ดอกเบี้ยพึ่งพาตลาดต่างชาติ

6. การเมืองไร้เสถียรภาพ ไม่กล้าปฏิรูปเชิงโครงสร้าง

7. ความเหลื่อมล้ำที่หนี้ซ้ำเติม จนคนส่วนใหญ่ไม่เหลือพื้นที่หายใจ

6) สภาวะต้มกบและการล่มสลายของชนชั้นกลางไทย

กับดักหนี้ไม่เพียงกัดกินงบประมาณรัฐ หากยังกัดกินชีวิตคนไทยทีละน้อย โดยเฉพาะชนชั้นกลางที่เป็น “กระดูกสันหลังของสังคม”

สภาวะนี้เหมือน กบถูกต้มในหม้อ:

– ดอกเบี้ยบ้านที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยทุกไตรมาส

– ค่าครองชีพที่สูงขึ้นเร็วกว่าเงินเดือน

– รายได้ที่แท้จริงถดถอย แต่หนี้สินไม่เคยหยุด

กบไม่กระโดดหนี เพราะความร้อนค่อย ๆ เพิ่มขึ้นช้า ๆ เช่นเดียวกับชนชั้นกลางไทยที่ค่อย ๆ สูญเสียกำลังซื้อ โดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลัง “ถูกต้ม”

ผลคืออะไร?

– ครัวเรือนชนชั้นกลาง ต้องทำงานสองถึงสามงานเพื่อผ่อนหนี้

– การออมระยะยาวหายไป เพราะถูกดอกเบี้ยกลืนทุกเดือน

– ความมั่นคงชีวิตสั่นคลอน ไม่มีเงินเก็บฉุกเฉิน ไม่มีเงินบำนาญ

– ความฝันของลูกหลานถูกบีบลง จาก “เรียนต่อเมืองนอก–ตั้งตัวได้” กลายเป็น “อย่าให้หลุดไปเป็นแรงงานนอกระบบ”

ชนชั้นกลางที่เคยเป็น “กำแพงกันชน” ของประเทศ กำลังถูกทำให้บางลงและเปราะบางลงอย่างเงียบเชียบ

นี่คือการล่มสลายที่ไม่ใช่ภาพโศกนาฏกรรมฉับพลันเหมือนกรีซ แต่คือการ ต้มกบแบบไทย—ล่มสลายอย่างเงียบงัน แต่ลึกซึ้งจนแก้ยาก

7) ผลกระทบจาก AI ที่จะมาแทนที่งานของชนชั้นกลางไทยในอีก 5 ปีข้างหน้า

ชนชั้นกลางไทยที่กำลังถูกหนี้ต้มทีละน้อย จะต้องเผชิญ คลื่นซัดซ้ำจาก AI ในเวลาไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะกวาดล้าง “งานที่มั่นคง” ที่เคยเป็นเสาหลักของครอบครัวไทย

7.1 งานสำนักงาน–เอกสาร

– นักกฎหมายรุ่นใหม่ → ถูกแทนด้วย AI ที่อ่านคดี–ร่างสัญญาได้ในเสี้ยววินาที

– นักบัญชี → โปรแกรมบัญชีอัตโนมัติ + AI audit จะลดความต้องการคนลงมหาศาล

– นักข่าวรายงาน/นักวิเคราะห์ข้อมูล → ถูกแทนด้วย AI ที่สังเคราะห์ข้อมูลทันที

7.2 งานบริการ–คอลเซ็นเตอร์

– Call center → chatbot ภาษาไทย–อังกฤษ–จีน ที่ตอบได้ 24 ชม. จะกินตลาด

– งานขาย/บริการลูกค้า → AI CRM รู้ใจลูกค้ามากกว่าคนจริง

7.3 งานการเงิน–การตลาด

– นักวิเคราะห์ตลาดหลักทรัพย์ → AI quant trading ทำงานได้เร็วกว่า–แม่นกว่า

– นักการตลาด → AI สร้าง content เฉพาะบุคคล ยิงโฆษณาตรงจิตวิทยาผู้บริโภค

7.4 ภาคอุตสาหกรรม–โลจิสติกส์

– งานจัดการคลังสินค้า → หุ่นยนต์ + AI logistics แทนคนจัดเรียง คำนวณเส้นทาง

– งานโรงงานทักษะกลาง → automation + AI inspection ตรวจคุณภาพได้ไวกว่า

ผลรวม: ชนชั้นกลางไทยถูกบีบสองด้าน

1. รายได้หดลงเพราะถูก AI แทนที่ → งานที่เคยมั่นคงกลายเป็น “งานไม่จำเป็น”

2. หนี้สินยังโตต่อเนื่อง → ดอกเบี้ยกัดกินทุกเดือน

ชนชั้นกลางที่เคยเป็น เสาหลัก ของประเทศ จะกลายเป็น จุดเปราะบางที่สุด ในเวลาไม่ถึง 5 ปีข้างหน้า

8) บทสรุป: หนี้คือเรื่องของอารยธรรมการเมือง

ฝรั่งเศสสะท้อนภาพการเมืองเกมสั้น ญี่ปุ่นสะท้อนภาพการยืดเวลาโดยไม่เติบโต อเมริกาสะท้อนภาพจักรวรรดิที่อยู่ได้เพราะสกุลเงินโลก

ส่วนไทยกำลังสะท้อน “เงาของทั้งหมด” โดยไม่มีเกราะใด ๆ มาป้องกัน

หนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขทางเศรษฐกิจ

หนี้คือเรื่องของ อารยธรรมการเมือง

และอนาคตไทยขึ้นกับว่าเราจะยังปล่อยให้การเมืองซื้อเวลา ด้วยการขายอนาคตลูกหลานไปเรื่อย ๆ หรือไม่

……

ผมเฝ้ามองเศรษฐกิจไทยคล้ายกบในหม้อที่ถูกเร่งไฟทีละน้อย

น้ำยังไม่เดือดพล่าน แต่ความร้อนคืบคลานอยู่ตลอดเวลา

ชนชั้นกลางที่เคยเป็นกระดูกสันหลังของสังคม กำลังถูกหนี้กัดกร่อนทีละชั้น—ทั้งหนี้บ้าน หนี้รถ หนี้บัตรเครดิต

และในอีกไม่เกินห้าปีข้างหน้า งานอีกจำนวนมากของชนชั้นกลางก็จะถูก AI กวาดล้างไปอย่างเงียบเชียบ

นี่มิใช่เพียงปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่คือ การล่มสลายของวิถีชีวิต

เมื่อชนชั้นกลางหดหาย ความมั่นคงทางการเมืองและสังคมย่อมสั่นคลอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บทความนี้ของผมคือเสียงตักเตือนจากมุมเล็ก ๆ ของนักวิชาการอิสระที่เกษียณจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปแล้ว ขณะที่เสียงส่วนใหญ่ของสังคมไทยยังคงถูกกลบด้วยกระแสรายวันและความบันเทิงที่เบี่ยงเบนความจริง

ผมรู้ทั้งรู้ว่าประเทศกำลังเดินเข้าสู่กับดักหนี้ลึกขึ้นทุกขณะ แต่ไม่อาจทำอะไรไปมากกว่าการบันทึกและชี้ให้เห็น

นี่คือความจริงที่ปวดร้าวของ “ผู้ที่แลเห็นอนาคต” แต่ไม่มีพลังจะหยุดยั้งมัน

อนาคตของเศรษฐกิจไทยจะรอดพ้นได้เพียงทางเดียว คือ การปฏิรูปโครงสร้างอย่างแท้จริง

ไม่ใช่ปฏิรูปเพื่อตกแต่งภาพ แต่คือการปฏิรูปที่ไปแตะรากเหง้าของระบบทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสถาบัน

หากทำไม่ได้ ประเทศนี้จะถูกไฟหนี้ เศรษฐกิจซบเซา และการสั่นคลอนของชนชั้นกลาง เผาไหม้ไปช้า ๆ ราวกับกบที่ถูกต้มจนตายโดยไม่รู้ตัว

นี่คือเสียงที่อยากฝากไว้—เสียงของคนที่มิได้แสวงหาผลประโยชน์ใด แต่หวังเพียงว่าผู้คนในแผ่นดินนี้จะมองเห็นอนาคตร่วมกัน และลงมือเปลี่ยนแปลงก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

~ สุวินัย ภรณวลัย

ข่าวล่าสุด

รัฐบาลไทยมัวแต่ “ประจันหน้า” สู้ศึกหน้าบ้าน ระวัง “หลังบ้าน”

ถูกโจรสแกมเมอร์ยึดจนไร้ทางแก้                               สถานการณ์อาชญากรรมข้ามชาติและการหลอกลวงประเภทสแกมเมอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงอยู่ในขั้น วิกฤตที่กำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว                                ข่าวจากหลายสำนักยืนยันว่าการกวาดล้างในฐานที่มั่นเดิมอย่างกัมพูชาและเมียนมาได้ผลักดันกลุ่มทุนจีนเทาให้โยกย้ายฐานปฏิบัติการมาสู่ อาณาจักรคิงส์โรมัน ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ สปป.ลาว ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยพื้นที่นี้ได้ถูกยกระดับเป็น "ศูนย์บัญชาการ" แห่งใหม่ที่มีความซับซ้อนและมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับอาชญากรรมอย่างเป็นระบบ                              อาคารสูงกว่า 30 ชั้น  การลงทุนที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อสร้างอาณาจักรนี้ชี้ให้เห็นว่าผลประโยชน์จากธุรกิจสีเทามีมูลค่ามหาศาล...

ประวัติรองเท้า “นันยาง” 

ย้อนกลับไปสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ราวพุทธศักราช 2460 หนุ่มน้อยอายุ 15 ปี จากมณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ชื่อ ซู ถิง ฟาง หรือ วิชัย ซอโสตถิกุล ล่องสำเภาพร้อมบิดา แบบเสื่อและหมอนมายังแผ่นดินสยาม

 รัฐบาล 4 เดือน กับมรสุม“ความเชื่อมั่น“

คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันที่เข้าบริหารประเทศภายใต้เงื่อนไขความเชื่อมั่น 4 เดือน กำลังเผชิญกับมรสุมทางการเมืองที่ถาโถมจากหลายทิศทางอย่างหนักหน่วง

เมื่ออายุได้ 53 ปี มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้รับคำตัดสินว่า เขามีเวลาเหลืออยู่เพียง “หนึ่งปีสุดท้ายของชีวิต”

ชายคนนั้นคือ จอห์น เดวิสัน ร็อกกีเฟลเลอร์ (John Davidson Rockefeller) เมื่ออายุ 25 ปี เขาเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในอเมริกา พออายุ 31 ปี เขาก็กลายเป็นผู้บริหารบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก และเมื่ออายุ 38...

ข่าวอื่นๆ

ประวัติรองเท้า “นันยาง” 

ย้อนกลับไปสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ราวพุทธศักราช 2460 หนุ่มน้อยอายุ 15 ปี จากมณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ชื่อ ซู ถิง ฟาง หรือ วิชัย ซอโสตถิกุล ล่องสำเภาพร้อมบิดา แบบเสื่อและหมอนมายังแผ่นดินสยาม

เมื่ออายุได้ 53 ปี มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้รับคำตัดสินว่า เขามีเวลาเหลืออยู่เพียง “หนึ่งปีสุดท้ายของชีวิต”

ชายคนนั้นคือ จอห์น เดวิสัน ร็อกกีเฟลเลอร์ (John Davidson Rockefeller) เมื่ออายุ 25 ปี เขาเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในอเมริกา พออายุ 31 ปี เขาก็กลายเป็นผู้บริหารบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก และเมื่ออายุ 38...

คุณอาจอยู่ถึงร้อยปี แต่เงินคุณจะอยู่ถึงไหม

The Longevity Paradox: เมื่อคนอยู่ได้นานกว่าเงินที่ตัวเองวางแผนไว้ วันนั้นฉันนั่งประชุมกับลูกค้าคู่สามีภรรยาวัย 75 ปี เขาหันมาพูดกับฉันว่า “Annabel ตอนเราวางแผนเกษียณ เราคิดว่าจะอยู่ถึง 85 ก็เยอะแล้ว” ฉันยิ้มแล้วถามกลับว่า “แล้วตอนนี้คิดว่ายังไงคะ?” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า “หมอบอกเราน่าจะอยู่ถึงร้อย…” แล้วเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดช้า...