วันศุกร์, พฤศจิกายน 14, 2025
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกบทความ-ความเห็นถอดรหัสโมเดลเนปาล: เมื่อไม่มีสถาบันกษัตริย์ กองทัพไร้บทบาท บ้านเมืองอยู่ในเงื้อมมือนักการเมือง 100% แล้วเกิดอะไรขึ้น?

ถอดรหัสโมเดลเนปาล: เมื่อไม่มีสถาบันกษัตริย์ กองทัพไร้บทบาท บ้านเมืองอยู่ในเงื้อมมือนักการเมือง 100% แล้วเกิดอะไรขึ้น?

เผยแพร่

spot_img

● จุดเริ่ม: การโค่นสถาบันกษัตริย์และการปลดกองทัพ

ตั้งแต่ปี 2008 เนปาลก้าวเข้าสู่การเป็น “สาธารณรัฐประชาธิปไตย” หลังการล้มเลิกสถาบันกษัตริย์อันยาวนาน และเพียงสองปีถัดมา กองทัพก็ถูกผลักออกจากการเมืองโดยสิ้นเชิง

ความคาดหวังคือ “ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ” จะเปิดทางให้เนปาลเจริญก้าวหน้าเหมือนโลกเสรีตะวันตก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม

● 11 ปีในเงื้อมมือนักการเมือง 100%

ตลอดกว่าทศวรรษที่ผ่านมา เนปาลอยู่ในมือของนักการเมืองแบบเต็มใบ และผลลัพธ์ที่ปรากฏคือ:

1. ความไม่เสถียรทางการเมืองเรื้อรัง

ภายใน 3 ปี มีถึง 14 รัฐบาลเปลี่ยนหน้ากันบริหาร → ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำงานได้ต่อเนื่องพอที่จะสร้างนโยบายระยะยาว

2. ประชานิยมจนหนี้ท่วมหัว

พรรคการเมืองต่างแข่งกันเสนอของแจกเพื่อซื้อเสียง เลือกตั้งทุกครั้งคือการประมูลนโยบายประชานิยม → งบประมาณรั่วไหล หนี้สาธารณะบานปลาย

3. การฉ้อฉลเชิงโครงสร้าง

ระบบตุลาการถูกผูกติดกับผลประโยชน์ทางการเมือง เมื่อผู้แทนโกงกิน ตุลาการก็ไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะต่างมีฐานเสียงและเครือข่ายเดียวกัน

4. การล่มสลายของทุนมนุษย์

คนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาและภาษา ไม่เห็นอนาคตในประเทศ → หลั่งไหลออกไปทำงานต่างแดน เนปาลจึงกลายเป็นประเทศที่พึ่งพาเงินโอนจากแรงงานมากกว่าการผลิตในประเทศ

● การลุกฮือของเจน Z: ไฟที่ไร้ศูนย์กลาง

ปี 2025 การประท้วงใหญ่ระเบิดขึ้น จุดชนวนจากการที่รัฐบาลสั่งปิดแพลตฟอร์มโซเชียลชั่วคราว เพื่อควบคุมข่าวปลอมตามกฎหมายใหม่

ผลลัพธ์คือ เจน Z เนปาล ที่ติดโซเชียลอย่างหนัก ออกมาอาละวาดเกินขอบเขตการประท้วงสันติวิธี:

– เผารัฐสภา เผาบ้านเมือง

– จับภรรยานายกรัฐมนตรีเผาทั้งเป็น

– ล่าสุดโรงแรมหรูระดับโลกอย่างฮิลตันก็ถูกเผา

– นักโทษเรือนหมื่นแหกคุกออกมาปล้นสะดมภ์

แม้รัฐบาลลาออกและคืนแพลตฟอร์มแล้ว แต่สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงขึ้น นี่สะท้อนว่าประชาชนรุ่นใหม่ไร้ทั้ง ศูนย์กลางทางจิตใจ และ ผู้นำที่มีความชอบธรรม

● สังคมที่ไร้หลักยึดเหนี่ยว

เนปาลวันนี้ขาดทุกสิ่งที่เคยทำหน้าที่เป็น ศูนย์รวม:

– ไม่มีสถาบันกษัตริย์ ที่เป็นสัญลักษณ์ความต่อเนื่องของชาติ

– กองทัพถูกทำให้เป็นแค่เครื่องจักร ไม่มีบทบาทเชิงการเมืองหรือเชิงสถาบัน

– ศาสนาฮินดูถูกลดบทบาท เพราะถูกมองว่าล้าหลัง

– รัฐธรรมนูญใหม่ กลับสร้างแต่นักการเมืองฉ้อฉล

– ความเป็นชาติถูกทำให้พร่าเลือน ประชาชนขาดความภาคภูมิใจร่วม

สิ่งที่เหลือคือ ประชาชนที่ถูกปล่อยให้ลอยเคว้งกลางทะเล โดยไม่มีหางเสือ

● บทเรียนจากเนปาล

สิ่งที่เกิดขึ้นในเนปาลเป็น “โมเดลกลับด้าน” ของความฝันแบบเสรีนิยม

การเมืองที่ฝากทุกอย่างไว้กับนักการเมือง 100% โดยตัดสถาบันกษัตริย์ ตัดกองทัพ ตัดศาสนา ออกไปจากสมการ → ไม่ได้สร้างความเจริญ แต่สร้าง “อนาธิปไตยที่ไร้ศูนย์กลาง” ขึ้นมาแทน

เนปาลกำลังสอนโลกให้เห็นของจริงว่า ประชาธิปไตยที่ไม่มี “แกนกลางยึดเหนี่ยว” จะกลายเป็น มิคสัญญี ที่ไม่มีใครหยุดได้

● เปรียบเทียบกับไทย

ในประเทศไทยปัจจุบัน ก็มีความพยายามจาก พรรคการเมืองคนรุ่นใหม่ ที่เคลื่อนไหวต่อต้านสถาบันกษัตริย์ เกลียดชังกองทัพ และมุ่งลดบทบาทของสองเสาหลักนี้ลงไปให้หมด

หากไทยเดินซ้ำรอยเนปาลโดยไม่เข้าใจบทเรียน เราอาจได้เห็นผลลัพธ์คล้ายกัน:

– การเมืองอยู่ในมือของนักการเมือง 100% → เปิดประตูให้การฉ้อฉลเชิงโครงสร้างขยายตัว

– ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง → รัฐบาลผันผวน ไม่อาจสร้างยุทธศาสตร์ชาติระยะยาว

– ม็อบไร้ศูนย์กลางทางจิตใจ → เมื่อไฟลุก จะไม่มีใครดับได้

สิ่งที่ทำให้ไทยยังไม่ล่มสลายเช่นเนปาล ก็เพราะเรายังมี “ศูนย์รวมทางจิตใจ” ที่ช่วยค้ำจุนความเป็นชาติ และกองทัพที่ยังทำหน้าที่เป็น “กระดูกสันหลัง” ของรัฐในยามวิกฤต แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักเพียงใดก็ตาม

● สรุป

ประเทศไม่ต่างจากเรือนร่างมนุษย์:

– หากไม่มีหัวใจ (สถาบันพระมหากษัตริย์) → เลือดหล่อเลี้ยงจะหยุดไหล

– หากไร้กระดูกสันหลัง (กองทัพ) → ร่างกายจะทรุดพังลง

– หากขาดจิตสำนึกร่วม (ศาสนาและวัฒนธรรม) → ร่างกายนี้ก็กลายเป็นเพียงซาก

ประเทศไทยของเรายังมีแกนกลางเหล่านี้คอยยึดเหนี่ยว แม้ถูกท้าทาย กร่อนเซาะ บ่อนทำลายอย่างหนัก แต่ตราบใดที่เรายังรักษาไว้ได้ ไทยก็จะไม่ซ้ำรอยเนปาล

บทเรียนจากเนปาลมิใช่เรื่องไกลตัว แต่คือกระจกที่ส่องให้ไทยเห็นอนาคตที่รออยู่ หากเราปล่อยให้ความเกลียดชัง (ชังชาติ) และความไม่รู้ของประชาชนที่ถูกปั่นถูกเสี้ยม ทำลายแกนกลางของชาติไปทีละเสา

~ สุวินัย ภรณวลัย 

*******

ภาคผนวกเชิงยุทธศาสตร์: หากไทยสูญเสียสถาบันกษัตริย์และกองทัพเหมือนเนปาล จะเกิดอะไรขึ้น?

● ฉากทัศน์ที่ 1: อนาธิปไตยเชิงโครงสร้าง

เมื่อสถาบันกษัตริย์ถูกล้ม กองทัพถูกลดเหลือเพียง “เครื่องจักร” ที่ไร้บทบาทการเมือง ประเทศไทยจะตกอยู่ภายใต้อำนาจนักการเมือง 100%

รัฐบาลจะเปลี่ยนบ่อย ไม่มีเสถียรภาพ → 3 ปีอาจมี 5–7 รัฐบาล

พรรคการเมืองจะแข่งขันกันด้วยประชานิยมสั้น ๆ เพื่อซื้อเสียง → หนี้สาธารณะบานปลาย

ระบบยุติธรรมถูกครอบงำ → นักการเมืองโกงกินโดยไม่ถูกลงโทษ

นี่คืออนาธิปไตยเชิงโครงสร้าง ที่ทำให้ประชาชนไทยจะไม่เหลือที่พึ่งใด ๆ

● ฉากทัศน์ที่ 2: ม็อบไร้ศูนย์กลาง

การเมืองไทยที่อยู่ในมือพรรคการเมืองเพียงอย่างเดียว จะสร้าง “สุญญากาศทางจิตใจ”

เด็กรุ่นใหม่ขาดศูนย์รวม → เมื่อผิดหวังทางเศรษฐกิจและสังคม จะระเบิดออกมาเป็น ม็อบที่ไร้แกนนำ คล้ายเนปาล

ม็อบเหล่านี้เมื่อถูกปล่อยให้ลุกลาม จะเผาเมืองได้ง่าย เพราะไม่มีสัญลักษณ์แห่งชาติหรือสถาบันใด ๆ ที่ทุกฝ่ายเคารพร่วมกันพอจะ “หยุดไฟ”

● ฉากทัศน์ที่ 3: การแทรกแซงจากต่างชาติ

เมื่อไทยอ่อนแอจนไม่เหลือสถาบันใดค้ำจุน มหาอำนาจต่างชาติจะฉวยโอกาสเข้ามาแทรกทันที

ประเทศมหาอำนาจจะแบ่งไทยเป็นเขตอิทธิพลทางเศรษฐกิจและความมั่นคง

พรมแดนและชายแดนเสี่ยงถูกกัดเซาะ เพราะกองทัพไม่มีศักยภาพในการคุมพื้นที่

เศรษฐกิจจะขึ้นกับเงินทุนข้ามชาติที่มองไทยเป็นเพียง “ตลาดและฐานแรงงาน” ไม่ใช่ประเทศเอกราชที่มีศักดิ์ศรี

● ฉากทัศน์ที่ 4: การสูญสลายของความเป็นชาติ

หากไม่มีสถาบันกษัตริย์ กองทัพ และศาสนา–วัฒนธรรมมาหล่อเลี้ยง ความเป็นไทย จะเหลือเพียง “การเป็นผู้บริโภค” ที่ไร้ราก

คนรุ่นใหม่จะมองการอพยพไปต่างประเทศเป็นทางรอด → ไทยจะสูญเสียคนเก่งแบบเดียวกับเนปาล

ชาติจะขาดความภาคภูมิใจร่วม → ไม่มีพลังจิตสำนึกที่จะสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ร่วมกันอีกต่อไป

● บทสรุปเชิงยุทธศาสตร์

การเมืองที่ไม่มีสถาบันค้ำจุน ไม่มีกองทัพเป็นกระดูกสันหลัง ไม่ต่างจากเรือนร่างที่ไร้หัวใจและไร้สันหลัง

ประเทศไทยยังไม่ล่มสลายเช่นเนปาลก็เพราะเรายังมี ศูนย์รวมทางจิตใจ ที่ค้ำจุน และยังมีกองทัพที่แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก แต่ยังคงเป็น force of last resort ในการป้องกันอนาธิปไตย

หากเราไม่เข้าใจบทเรียนจากเนปาล วันหนึ่งไทยอาจเดินไปสู่ มิคสัญญี ที่ไม่มีใครหยุดได้

~ สุวินัย ภรณวลัย

ข่าวล่าสุด

รัฐบาลไทยมัวแต่ “ประจันหน้า” สู้ศึกหน้าบ้าน ระวัง “หลังบ้าน”

ถูกโจรสแกมเมอร์ยึดจนไร้ทางแก้                               สถานการณ์อาชญากรรมข้ามชาติและการหลอกลวงประเภทสแกมเมอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงอยู่ในขั้น วิกฤตที่กำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว                                ข่าวจากหลายสำนักยืนยันว่าการกวาดล้างในฐานที่มั่นเดิมอย่างกัมพูชาและเมียนมาได้ผลักดันกลุ่มทุนจีนเทาให้โยกย้ายฐานปฏิบัติการมาสู่ อาณาจักรคิงส์โรมัน ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ สปป.ลาว ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยพื้นที่นี้ได้ถูกยกระดับเป็น "ศูนย์บัญชาการ" แห่งใหม่ที่มีความซับซ้อนและมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับอาชญากรรมอย่างเป็นระบบ                              อาคารสูงกว่า 30 ชั้น  การลงทุนที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อสร้างอาณาจักรนี้ชี้ให้เห็นว่าผลประโยชน์จากธุรกิจสีเทามีมูลค่ามหาศาล...

ประวัติรองเท้า “นันยาง” 

ย้อนกลับไปสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ราวพุทธศักราช 2460 หนุ่มน้อยอายุ 15 ปี จากมณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ชื่อ ซู ถิง ฟาง หรือ วิชัย ซอโสตถิกุล ล่องสำเภาพร้อมบิดา แบบเสื่อและหมอนมายังแผ่นดินสยาม

 รัฐบาล 4 เดือน กับมรสุม“ความเชื่อมั่น“

คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันที่เข้าบริหารประเทศภายใต้เงื่อนไขความเชื่อมั่น 4 เดือน กำลังเผชิญกับมรสุมทางการเมืองที่ถาโถมจากหลายทิศทางอย่างหนักหน่วง

เมื่ออายุได้ 53 ปี มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้รับคำตัดสินว่า เขามีเวลาเหลืออยู่เพียง “หนึ่งปีสุดท้ายของชีวิต”

ชายคนนั้นคือ จอห์น เดวิสัน ร็อกกีเฟลเลอร์ (John Davidson Rockefeller) เมื่ออายุ 25 ปี เขาเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในอเมริกา พออายุ 31 ปี เขาก็กลายเป็นผู้บริหารบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก และเมื่ออายุ 38...

ข่าวอื่นๆ

ประวัติรองเท้า “นันยาง” 

ย้อนกลับไปสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ราวพุทธศักราช 2460 หนุ่มน้อยอายุ 15 ปี จากมณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ชื่อ ซู ถิง ฟาง หรือ วิชัย ซอโสตถิกุล ล่องสำเภาพร้อมบิดา แบบเสื่อและหมอนมายังแผ่นดินสยาม

เมื่ออายุได้ 53 ปี มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้รับคำตัดสินว่า เขามีเวลาเหลืออยู่เพียง “หนึ่งปีสุดท้ายของชีวิต”

ชายคนนั้นคือ จอห์น เดวิสัน ร็อกกีเฟลเลอร์ (John Davidson Rockefeller) เมื่ออายุ 25 ปี เขาเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในอเมริกา พออายุ 31 ปี เขาก็กลายเป็นผู้บริหารบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก และเมื่ออายุ 38...

คุณอาจอยู่ถึงร้อยปี แต่เงินคุณจะอยู่ถึงไหม

The Longevity Paradox: เมื่อคนอยู่ได้นานกว่าเงินที่ตัวเองวางแผนไว้ วันนั้นฉันนั่งประชุมกับลูกค้าคู่สามีภรรยาวัย 75 ปี เขาหันมาพูดกับฉันว่า “Annabel ตอนเราวางแผนเกษียณ เราคิดว่าจะอยู่ถึง 85 ก็เยอะแล้ว” ฉันยิ้มแล้วถามกลับว่า “แล้วตอนนี้คิดว่ายังไงคะ?” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า “หมอบอกเราน่าจะอยู่ถึงร้อย…” แล้วเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดช้า...