วันศุกร์, พฤศจิกายน 14, 2025
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกบทความ-ความเห็นผลวิจัย 'ผงชูรส' กับหัวใจเต้นผิดปกติ ควรกินหรือเลี่ยงอย่างไร?

ผลวิจัย ‘ผงชูรส’ กับหัวใจเต้นผิดปกติ ควรกินหรือเลี่ยงอย่างไร?

เผยแพร่

spot_img

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Annals of Internal Medicine (19 ส.ค. 2025) รายงาน ผู้ป่วยหญิงวัย 78 ปี ที่มีโรคประจำตัวหลายอย่าง และพบภาวะหัวใจเต้นผิดปกติแบบ atrial fibrillation (AF) ต่อเนื่อง ซึ่งผู้วิจัยเชื่อมโยงกับการบริโภคผงชูรสในปริมาณสูง (ประมาณ 6 กรัม/วัน) — หลังงดผงชูรส อาการหัวใจกลับเป็นจังหวะปกติภายใน 3 เดือนจนลด/หยุดยาบางชนิดได้ งานชิ้นนี้เป็นรายงานกรณี (case report) ที่ชวนให้ตั้งคำถามว่า MSG อาจเป็น “ตัวกระตุ้น” สำหรับผู้มีความเสี่ยงบางกลุ่มได้จริงหรือไม่

งานวิจัยและหลักฐานที่มีตอนนี้พูดว่าอะไร?

  • งานที่ผู้ใช้ยกมาเป็น รายงานกรณี ที่พบความสัมพันธ์เชิงเวลาระหว่างการบริโภค MSG ปริมาณสูงกับ AF — หลังหยุด MSG อาการดีขึ้นจนหัวใจกลับเป็นจังหวะปกติ. รายงานลักษณะนี้ชวนให้สนใจเพราะ “อาการหายหลังงด” แต่ยังไม่สามารถสรุปว่า MSG เป็นสาเหตุโดยตรงสำหรับคนทั่วไปได้ (ต้องการข้อมูลจากการทดลองแบบควบคุมหรือการศึกษาในกลุ่มใหญ่)
  • มีงานวิจัยและรายงานก่อนหน้านี้ที่สังเกต “ความเชื่อมโยง” ระหว่างระดับกลูตาเมตในเลือดกับ AF หรือการเปลี่ยนแปลงของหัวใจ — ทั้งในระดับชีวเคมีและการแสดงออกของตัวรับ (receptors) ของกลูตาเมตใน เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจห้องบน (atrial cardiomyocytes) ซึ่งชี้เป็นไปได้ทางกลไกว่า glutamate อาจมีบทบาทต่อความตื่นตัวทางไฟฟ้าของหัวใจได้ แต่ยังต้องการงานวิจัยยืนยันในคนจำนวนมาก

กลไกที่นักวิจัยเสนอ สรุปแบบเข้าใจง่าย

  • เส้นทางในสมอง: กลูตาเมตจากเลือดอาจถูกรับรู้ในบริเวณ CVOs หรือ hypothalamus ซึ่งเชื่อมกับการควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic nervous system) ที่มีผลต่ออัตราการเต้นหัวใจและจังหวะการนำไฟฟ้า → อาจเพิ่มความเสี่ยง AF ในคนที่มีปัจจัยร่วม (โรคความดัน/肥胖/โรคเมตาบอลิก)
  • การออกฤทธิ์ที่หัวใจตรง ๆ: มีงานแสดงว่าหัวใจ (โดยเฉพาะเซลล์ atrial) มีองค์ประกอบของระบบ glutamatergic — ตัวรับกลูตาเมต (glutamate receptors) และเอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง — ซึ่งถ้าได้รับการกระตุ้นมากผิดปกติ อาจเปลี่ยนแปลงการนำไฟฟ้าและความต้านทานไฟฟ้าของหัวใจได้ (เป็นไปได้ว่ากระตุ้นการเกิด arrhythmia)

แล้วผงชูรสจำเป็นไหม?

ไม่จำเป็น สำหรับโภชนาการพื้นฐานของมนุษย์ — ผงชูรสเป็นเพียง “ตัวปรุงรส” ที่ช่วยเพิ่มความอร่อย (umami) ให้กับอาหารเท่านั้น ร่างกายไม่ได้ต้องการ MSG เป็นสารจำเป็น แต่มนุษย์ต้องการกลูตาเมตซึ่งมีอยู่แล้วในโปรตีนธรรมชาติของอาหารทั่วไป ดังนั้นการใช้หรือไม่ใช้ผงชูรสเป็นเรื่องของรสชาติและการเลือกบริโภค แต่ไม่ใช่ความจำเป็นทางโภชนาการ

ถ้าอยากลด/เลี่ยงผงชูรส มีทางเลือกอะไรบ้าง

หลายคนต้องการรสอูมามิแบบไม่เติมผงชูรส — ทางเลือกที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัยได้แก่

  • สาหร่ายคอมบุ (kombu), ซุปสต็อกจากกระดูก/ปลา (dashi), น้ำซุปต้มจากเห็ดแห้ง (เช่น shiitake แห้ง) — ธรรมชาติอุดมกลูตาเมต
  • มะเขือเทศสุก, ชีสแบบอายุ (เช่น Parmesan), เห็ดสดหรือผงเห็ด, ซอสถั่วเหลือง/น้ำปลา/มิโสะ — ให้รสอูมามิที่เข้มข้นจากแหล่งธรรมชาติ
  • ยีสต์เอ็กแทร็กต์ (yeast extract) หรือนิวทริชั่นแนลยีสต์ — ให้รสอูมามิโดยไม่ต้องใช้ผงชูรสเชิงพาณิชย์ (แต่ก็มีกรดกลูตามิกตามธรรมชาติ)

ข้อสำคัญ: แหล่งธรรมชาติหลายอย่างเหล่านี้ก็มี กลูตาเมตตามธรรมชาติ อยู่ด้วย (เพราะ umami = กลูตาเมต) — ดังนั้นถ้าปัญหาจริง ๆ เกิดจากปริมาณกลูตาเมตที่เข้าสู่ร่างกาย ผู้ที่ไวต่อสารนี้อาจรู้สึกอาการได้แม้เลี่ยงผงชูรสโดยใช้วัตถุดิบธรรมชาติเป็นตัวเพิ่มรส ดังนั้นทางเลือกจึงไม่ได้ “ไม่มีผลต่อร่างกาย” เสมอไป แต่เป็นการลดการบริโภคผงชูรสสำเร็จรูปและเลือกแหล่งรสอูมามิที่มีประโยชน์ด้านโภชนาการอื่น ๆ แทน

ผงชูรสกับหัวใจเต้นผิดปกติ — ระดับความเชื่อมั่นทางวิทยาศาสตร์ตอนนี้

  • มี รายงานกรณี (case reports) และการศึกษาเชิงสังเกตที่ระบุความเกี่ยวข้องระหว่างการบริโภค MSG กับอาการหัวใจเต้นผิดปกติ (รวมถึง AF) ในบางราย แต่หลักฐานยังไม่ถึงขั้นพิสูจน์ “เป็นสาเหตุแน่ชัด” สำหรับประชากรทั่วไป — เพราะยังขาดการทดลองแบบสุ่มขนาดใหญ่ที่ควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่นอย่างครบถ้วน
  • ข้อสังเกตทางชีววิทยาบางชิ้นชี้ว่ากลูตาเมตอาจมีบทบาททั้งในสมอง (CVO/hypothalamus) และในหัวใจ (glutamate receptors ใน cardiomyocytes) ซึ่งเป็น “เส้นทางเชิงกลไก” ที่เป็นไปได้ — แต่ยังต้องการงานวิจัยเสริมเพื่อยืนยัน

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้อ่าน (แนะนำปฏิบัติได้จริง)

  1. ถ้าคุณมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ หรือมี AF อยู่แล้ว — แจ้งแพทย์เกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน รวมถึงการบริโภคผงชูรสและอาหารที่มีรสอูมามิเข้มข้น — แพทย์อาจแนะนำให้ลด/งดเป็นช่วงทดลองและติดตามผล (เช่น รายงานกรณีที่อ้างถึง)
  2. ถ้าคุณไม่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ — การบริโภค MSG ในระดับที่พบโดยทั่วไปในอาหารเป็นที่ยอมรับว่าปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ (หน่วยงานอย่าง FDA/JECFA ให้สถานะว่าใช้ได้ในระดับปกติ) แต่ก็ควรบริโภคอาหารให้หลากหลายและหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปมาก ๆ ที่มักมีโซเดียมสูงและสารเสริมอื่น ๆ
  3. ปริมาณสำคัญ — รายงานกรณีที่น่ากังวลมักเกี่ยวข้องกับการบริโภค ปริมาณสูง (เช่นกรณี ~6 g/day ในรายงาน) ซึ่งมากกว่าการบริโภคทั่วไปของคนส่วนใหญ่ (โดยเฉลี่ยประมาณ 0.5–2 g/day ในหลายประเทศ) — การจำกัดปริมาณและสังเกตตัวเองจึงเป็นแนวทางที่สมเหตุสมผล
  4. MSG ไม่ใช่สารจำเป็น และเป็นเพียง “ตัวปรุงรส” — คนส่วนใหญ่บริโภคได้อย่างปลอดภัยในระดับที่พบบ่อย แต่มีกรณีรายงานที่เชื่อมโยง MSG ปริมาณสูงกับภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ (เช่น AF) — โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงร่วม
  • หลักฐานในปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปความเป็นสาเหตุทั่วไปได้ — ต้องการงานวิจัยเชิงทดลอง/การศึกษาในกลุ่มใหญ่ขึ้น แต่กลไกเชิงชีวภาพบางอย่างทำให้ความเชื่อมโยงนี้เป็น “ไปได้” ทางทฤษฎี (สมองและหัวใจตอบสนองต่อกลูตาเมต)
  • ทางเลือกที่ปลอดภัย: ถ้าต้องการลด MSG ให้ใช้แหล่ง umami จากธรรมชาติ (เช่น kombu, เห็ด, มะเขือเทศสุก, Parmesan, ซอสถั่วเหลือง, yeast extract) แต่ต้องจำไว้ว่าแหล่งธรรมชาติเหล่านี้ก็มี กลูตาเมตตามธรรมชาติ — ดังนั้นหากคุณ “ไวจริง ๆ” ต่อกลูตาเมต อาจต้องลดทั้งจากผงชูรสและแหล่งธรรมชาติและปรึกษาแพทย์

ศัพท์เทคนิคที่ควรรู้ (และคำอธิบายสั้นๆ)

  • Monosodium Glutamate (MSG; ผงชูรส) – เกลือโซเดียมของกรดแอมิโนกลูตาเมต ใช้เพื่อเพิ่มรส “อูมามิ” (umami) ให้กับอาหาร พบได้ทั้งในรูปเติม (ผง/เกลือ) และในรูปที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในอาหารบางชนิด เช่น สาหร่าย คอมบุ เห็ด ชีสและมะเขือเทศ
  • Atrial fibrillation (AF) – ภาวะหัวใจห้องบน (atria) เกิดการสั่นพลิ้วไม่เป็นจังหวะ ส่งผลให้หัวใจสูบฉีดเลือดไม่เป็นประสิทธิภาพ เพิ่มความเสี่ยงเกิดลิ่มเลือดและสโตรก (stroke).
  • Case report – รายงานทางการแพทย์ของผู้ป่วยรายเดียวหรือจำนวนจำกัด ช่วยชี้สัญญาณ/ความสัมพันธ์ แต่ไม่เพียงพอสำหรับสรุปสาเหตุ-ผลกระทบเชิงสาเหตุ (causation) ในวงกว้าง
  • Circumventricular organs (CVOs) – โครงสร้างบางส่วนของสมองที่ “รั่วกว่า” (ไม่มี blood–brain barrier แน่น) ทำให้สามารถรับสัญญาณหรือโมเลกุลจากเลือดโดยตรงได้ และอาจเป็นช่องทางให้สารจากเลือดกระตุ้นสมองบางส่วน (เช่น ศูนย์ควบคุมอัตโนมัติ) ซึ่งอาจมีผลต่อการควบคุมหัวใจ/ความดัน

ข่าวล่าสุด

รัฐบาลไทยมัวแต่ “ประจันหน้า” สู้ศึกหน้าบ้าน ระวัง “หลังบ้าน”

ถูกโจรสแกมเมอร์ยึดจนไร้ทางแก้                               สถานการณ์อาชญากรรมข้ามชาติและการหลอกลวงประเภทสแกมเมอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงอยู่ในขั้น วิกฤตที่กำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว                                ข่าวจากหลายสำนักยืนยันว่าการกวาดล้างในฐานที่มั่นเดิมอย่างกัมพูชาและเมียนมาได้ผลักดันกลุ่มทุนจีนเทาให้โยกย้ายฐานปฏิบัติการมาสู่ อาณาจักรคิงส์โรมัน ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ สปป.ลาว ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยพื้นที่นี้ได้ถูกยกระดับเป็น "ศูนย์บัญชาการ" แห่งใหม่ที่มีความซับซ้อนและมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับอาชญากรรมอย่างเป็นระบบ                              อาคารสูงกว่า 30 ชั้น  การลงทุนที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อสร้างอาณาจักรนี้ชี้ให้เห็นว่าผลประโยชน์จากธุรกิจสีเทามีมูลค่ามหาศาล...

ประวัติรองเท้า “นันยาง” 

ย้อนกลับไปสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ราวพุทธศักราช 2460 หนุ่มน้อยอายุ 15 ปี จากมณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ชื่อ ซู ถิง ฟาง หรือ วิชัย ซอโสตถิกุล ล่องสำเภาพร้อมบิดา แบบเสื่อและหมอนมายังแผ่นดินสยาม

 รัฐบาล 4 เดือน กับมรสุม“ความเชื่อมั่น“

คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันที่เข้าบริหารประเทศภายใต้เงื่อนไขความเชื่อมั่น 4 เดือน กำลังเผชิญกับมรสุมทางการเมืองที่ถาโถมจากหลายทิศทางอย่างหนักหน่วง

เมื่ออายุได้ 53 ปี มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้รับคำตัดสินว่า เขามีเวลาเหลืออยู่เพียง “หนึ่งปีสุดท้ายของชีวิต”

ชายคนนั้นคือ จอห์น เดวิสัน ร็อกกีเฟลเลอร์ (John Davidson Rockefeller) เมื่ออายุ 25 ปี เขาเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในอเมริกา พออายุ 31 ปี เขาก็กลายเป็นผู้บริหารบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก และเมื่ออายุ 38...

ข่าวอื่นๆ

ประวัติรองเท้า “นันยาง” 

ย้อนกลับไปสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ราวพุทธศักราช 2460 หนุ่มน้อยอายุ 15 ปี จากมณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ชื่อ ซู ถิง ฟาง หรือ วิชัย ซอโสตถิกุล ล่องสำเภาพร้อมบิดา แบบเสื่อและหมอนมายังแผ่นดินสยาม

เมื่ออายุได้ 53 ปี มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้รับคำตัดสินว่า เขามีเวลาเหลืออยู่เพียง “หนึ่งปีสุดท้ายของชีวิต”

ชายคนนั้นคือ จอห์น เดวิสัน ร็อกกีเฟลเลอร์ (John Davidson Rockefeller) เมื่ออายุ 25 ปี เขาเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในอเมริกา พออายุ 31 ปี เขาก็กลายเป็นผู้บริหารบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก และเมื่ออายุ 38...

คุณอาจอยู่ถึงร้อยปี แต่เงินคุณจะอยู่ถึงไหม

The Longevity Paradox: เมื่อคนอยู่ได้นานกว่าเงินที่ตัวเองวางแผนไว้ วันนั้นฉันนั่งประชุมกับลูกค้าคู่สามีภรรยาวัย 75 ปี เขาหันมาพูดกับฉันว่า “Annabel ตอนเราวางแผนเกษียณ เราคิดว่าจะอยู่ถึง 85 ก็เยอะแล้ว” ฉันยิ้มแล้วถามกลับว่า “แล้วตอนนี้คิดว่ายังไงคะ?” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า “หมอบอกเราน่าจะอยู่ถึงร้อย…” แล้วเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดช้า...