วันอาทิตย์, ตุลาคม 19, 2025
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกบทความ-ความเห็นเจตนามหาอำนาจในศึกละแวกยุคดิจิตัล : สงครามเล็กที่สะท้อนเกมใหญ่

เจตนามหาอำนาจในศึกละแวกยุคดิจิตัล : สงครามเล็กที่สะท้อนเกมใหญ่

เผยแพร่

spot_img

1. เมื่อสงครามชายแดนกลายเป็นเวทีของโลก

ศึกละแวกที่เริ่มจากเสียงปืนใหญ่ในพรมแดนไทย–กัมพูชา ได้บานปลายจนเกินกว่าความขัดแย้งท้องถิ่น มหาอำนาจเริ่มสอดแทรกเข้ามาทีละขั้น—ทั้งสหรัฐ จีน มาเลเซีย และแม้แต่อาเซียนเอง ต่างประกาศ “พร้อมเป็นตัวกลาง” เพื่อยุติความรุนแรง

นี่คือสัญญาณสำคัญว่า สงครามเล็กสามารถกลายเป็นเครื่องมือของระเบียบโลกใหม่ ได้อย่างง่ายดาย หากชาติที่เป็นคู่ขัดแย้งขาดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน หรือยอมปล่อยให้ “เรื่องเล่า” จากภายนอกเป็นผู้กำหนดทิศทางแทนตัวเอง

2. บทเรียนจากทรัมป์: การเจรจาที่ไม่เคยเป็นกลาง

ทรัมป์แสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการให้สงครามยุติเพื่อปูทางดีลภาษีกับไทยและกัมพูชา แต่คำถามคือ เพื่อใคร?

ประสบการณ์ในยูเครน แสดงให้เห็นว่าการเข้าไป “ไกล่เกลี่ย” ของสหรัฐไม่เคยนำสู่สันติภาพอย่างแท้จริง แต่กลับทำให้สงครามยืดเยื้อ เพื่อผลประโยชน์ของ Military–Industrial Complex และเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ระยะยาว

บทบาทของสหรัฐในตะวันออกกลางก็ชัดเจนไม่แพ้กัน: ภายใต้คำว่า “สันติภาพ” ซ่อนเร้นด้วยการขยายอิทธิพล การขายอาวุธ และการจัดสมการอำนาจใหม่ที่ตัวเองได้ประโยชน์สูงสุด

ทรัมป์อาจพูดถึง “หยุดยิง” แต่สิ่งที่สหรัฐทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือการ เลี้ยงไข้ของสงคราม เพื่อผลประโยชน์ตนเอง และทำให้ประเทศคู่ขัดแย้งติดหล่มจนหมดเรี่ยวแรงต่อรองในอนาคต

3. จีน: ผู้เล่นเงียบแต่ได้แต้ม

ขณะที่สหรัฐใช้วิธี “รุก-แทรกแซง-สร้างความวุ่นวายเพื่อเข้าไปควบคุม” จีนกลับเลือกเป็น ผู้สนับสนุนเชิงโครงสร้าง

ซื้อพลังงานจากรัสเซียเพื่อทำให้รัสเซียสู้สงครามยืดเยื้อได้

ให้เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์สนับสนุนพันธมิตรอย่างอิหร่านและปากีสถาน จนสามารถพลิกผลการรบได้เหนือความคาดหมาย

ใช้เงินหยวนและระบบการเงินคู่ขนานลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์

จีนไม่ประกาศตัวโผงผาง แต่ เปลี่ยนดุลอำนาจเชิงลึก โดยไม่ต้องยิงกระสุนแม้แต่นัดเดียว

4. ไทยอยู่ตรงไหน?

คำถามที่น่ากลัวที่สุดคือ: เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของไทยคืออะไร?

เรากำลังรบเพื่อรักษาอธิปไตยเพียงอย่างเดียว หรือเพื่อวางสมการใหม่ในภูมิภาค?

เรากำลังปล่อยให้ เกมภายนอก เป็นผู้เขียนเรื่องราว หรือเรากำลังเขียนเรื่องราวของเราเอง?

เรากำลังจะยอมให้ศึกละแวกกลายเป็น “สงครามตัวแทน” เพื่อผลประโยชน์ของคนอื่น หรือจะหยุดมันให้อยู่ในขอบเขต ไทย–กัมพูชาเท่านั้น?

5. อย่าปล่อยให้ซ้ำรอย “ประเทศที่ตกเป็นเหยื่อเกม”

ประเทศเล็กจำนวนมากในประวัติศาสตร์เคยหลงดีใจกับการที่มหาอำนาจ “ยื่นมือเข้ามาช่วย” แต่สิ่งที่ได้คือการสูญเสียอธิปไตยทีละชั้น

ยูเครนกลายเป็นสนามรบที่ยืดเยื้อจนโครงสร้างเศรษฐกิจพังทลาย

ปาเลสไตน์ถูกเจรจาออกจากบ้านตัวเองทีละส่วนจนไม่เหลือพื้นที่ตั้งรัฐ

ไทยต้องไม่เดินซ้ำรอยนั้น

เราต้องจำกัดรัศมีความขัดแย้งให้อยู่แค่ สองประเทศ ไม่ให้กลายเป็น “สงครามภูมิภาค”

เราต้องปฏิเสธการตั้งฐานทัพต่างชาติถาวร ที่จะเปลี่ยนเราเป็นเพียง “จุดยุทธศาสตร์ของคนอื่น”

เราต้องเร่งสร้างเอกภาพภายใน เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งในบ้านกลายเป็นช่องโหว่ที่ต่างชาติใช้ต่อรอง

○ เจตนามหาอำนาจในศึกละแวกยุคดิจิตัลนั้นชัดเจน: พวกเขาไม่ได้ต้องการสันติภาพของเรา แต่ต้องการใช้ ‘สงครามของเรา’ เป็นบันไดสู่เกมใหญ่ของตนเองต่างหาก

ไทยจึงต้อง อ่านเกมออก เขียนเกมเอง และเล่นเกมอย่างมีจุดยืน 

ไม่ใช่แค่เพื่อเอาตัวรอด แต่เพื่อยืนหยัดในโลกที่กำลังจัดสมดุลใหม่

จำไว้นะ นี่คือโลกที่ผู้ไม่มียุทธศาสตร์จะถูกเขียนชะตากรรมแทนโดยคนอื่นเสมอ

…….

● ยุทธศาสตร์ 3 ชั้นของไทย – ไทยต้องไม่ติดหล่มสงครามตัวแทน

1. ชั้นแรก: ยุทธศาสตร์ระยะสั้น (0–6 เดือน)

เป้าหมาย: จำกัดรัศมีของความขัดแย้งและป้องกันการสอดแทรกจากภายนอก

ล็อกสมรภูมิให้อยู่ในขอบเขตไทย–กัมพูชาเท่านั้น : ไม่ให้ปัญหาลุกลามเป็นความขัดแย้งระดับภูมิภาค

ปฏิเสธฐานทัพถาวรจากมหาอำนาจ : ป้องกันไม่ให้ไทยถูกใช้เป็น “สนามรบสำเร็จรูป” ของใคร

ควบคุมเรื่องเล่า (Narrative) : ใช้ศูนย์ยุทธศาสตร์ข้อมูล (Info Ops) ของไทยเอง เพื่อสื่อสารข้อเท็จจริง ปิดช่องว่างข่าวปลอมที่จะถูกใช้บ่อนทำลายความชอบธรรมของไทย

ฟื้นฟูความเชื่อมั่นภายใน : ประกาศแผนป้องกันพลเรือนชายแดน พร้อมกองทุนเยียวยาที่ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่า “รัฐปกป้องพวกเขาได้จริง”

2. ชั้นกลาง: ยุทธศาสตร์ระยะกลาง (6–24 เดือน)

เป้าหมาย: ใช้โอกาสหลังสงครามสร้าง “โครงสร้างสันติภาพถาวร”

เขียนสัญญาใหม่กับเพื่อนบ้าน : ปรับความร่วมมือด้านชายแดน พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานให้อยู่บนฐานความเสมอภาค ไม่ใช่ “การประนีประนอมด้วยความกลัว”

สร้างเศรษฐกิจชายแดนที่เป็นกันชนสันติภาพ : พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและระบบโลจิสติกส์ที่เหนือกว่าฝั่งกัมพูชา เพื่อให้สันติภาพ “มีผลประโยชน์จริง” สำหรับทั้งสองฝ่าย

ความมั่นคงในศตวรรษที่ 21 : ลงทุนในระบบต่อต้านโดรน สงครามไซเบอร์ และการฝึก Territorial Defense ของประชาชนชายแดน

3. ชั้นลึก: ยุทธศาสตร์ระยะยาว (5–50 ปี)

เป้าหมาย: ทำให้ไทยเป็น “ศูนย์กลางเสถียรภาพอินโดจีน”

ไม่เป็นหมากของใคร : วางตัวสมดุลระหว่างมหาอำนาจตะวันตกและตะวันออก รักษาความเป็น “แกนกลางของอาเซียน”

ใช้ Soft Power + Hard Power : จากอาหาร วัฒนธรรม และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ไปจนถึงอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและเทคโนโลยีอวกาศ

สร้างคนรุ่นใหม่ที่มียุทธศาสตร์ในหัวใจ : การศึกษาและวัฒนธรรมต้องสอนให้ประชาชนเข้าใจเกมโลก ไม่ตกเป็นเหยื่อเรื่องเล่าของใครง่าย ๆ

พัฒนา “จิตวิญญาณรัฐ” : จากรัฐที่เคยคิดแค่เอาตัวรอด → รัฐที่มี “วิสัยทัศน์ 50 ปี” มองตัวเองเป็นผู้กำหนดอนาคต ไม่ใช่เพียงผู้ปรับตัวตามผู้อื่น

○ สงครามตัวแทนเกิดขึ้นเพราะประเทศเล็กคิดสั้น หรือคิดไม่เป็น

ไทยต้องคิดสามชั้นพร้อมกัน: หยุดเลือดออกในวันนี้ – สร้างกันชนพรุ่งนี้ – และออกแบบอนาคตอีก 50 ปี

ถ้าเราทำได้ ศึกละแวกยุคดิจิตัลจะไม่ใช่เพียงวิกฤติ แต่จะเป็น จุดเริ่มต้นของไทยที่ตื่นขึ้นมาเป็นผู้เล่นจริงในกระดานโลก ไม่ใช่เพียงตัวหมากที่รอให้ใครขยับ

…….

● ภูมิคุ้มกันเชิงจิตวิญญาณชาติ – รากฐานที่ทำให้ไทยไม่กลับไปติดกับดักเดิม

1. สงครามไม่ใช่เพียงเรื่องปืน แต่คือเรื่องจิตใจของชาติ

ศึกละแวกยุคดิจิตัลแสดงให้เราเห็นชัดว่า:

ชาติที่มีแสนยานุภาพทางทหาร แต่ไร้เอกภาพภายใน ย่อมถูกกำหนดเกมจากภายนอกได้ง่าย

ชาติที่มีข้อมูลข่าวสารครบ แต่ไร้ภูมิคุ้มกันทางจิตวิญญาณ ย่อมเชื่อเรื่องเล่า (Narrative) ของคนอื่นมากกว่าของตนเอง

นี่จึงไม่ใช่เพียงเวลาสำหรับ ปรับยุทธศาสตร์การทหาร เท่านั้น แต่เป็นเวลาสำหรับ “สร้างจิตวิญญาณรัฐ” ที่จะทำให้ไทยไม่หวนกลับไปเป็นเพียงหมากของคนอื่นอีกต่อไป

2. สามเสาหลักของภูมิคุ้มกันเชิงจิตวิญญาณชาติ

(1) ความจริงทางประวัติศาสตร์

ไทยต้องเลิกเรียนประวัติศาสตร์แบบ “ท่องจำชัยชนะ–ความพ่ายแพ้”

ต้องเปลี่ยนเป็น ประวัติศาสตร์ที่ทำให้เข้าใจเกมโลก: ทำไมเราสูญเสียดินแดน? ทำไมเราถูกกดดันซ้ำแล้วซ้ำเล่า? และเราจะป้องกันการซ้ำรอยได้อย่างไร?

ประวัติศาสตร์ต้องไม่ใช่อดีตที่ทำให้เราติดอยู่กับความแค้น แต่เป็น ภูมิปัญญาที่ทำให้เราก้าวข้ามความแค้น

(2) สำนึกแห่งอธิปไตย (Sovereignty Consciousness)

ทุกคนต้องรู้ว่า “อธิปไตยไม่ใช่ของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว” แต่เป็นของ ประชาชนทุกคน

ต้องสร้างวัฒนธรรม ไม่ยอมขายผลประโยชน์ชาติแม้แลกด้วยความสะดวกสบายระยะสั้น

ต้องสร้าง “สายตากว้างไกล”: เข้าใจว่าอธิปไตยไม่ได้อยู่แค่ที่ดิน–น้ำ–ฟ้า แต่รวมถึง อธิปไตยทางข้อมูล, พลังงาน, และความคิด

(3) วัฒนธรรมแห่งการตื่นรู้ (Awareness Culture)

ประชาชนต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของ Fake News, Narrative Manipulation และการสร้างความเกลียดชัง

โรงเรียน มหาวิทยาลัย และสื่อ ต้องสอนให้ คนไทยตั้งคำถามได้ ไม่ใช่แค่เชื่อหรือปฏิเสธตามอารมณ์

นี่คือภูมิคุ้มกันสำคัญที่สุดในยุคที่สงครามเริ่มต้นในมือถือ ก่อนจะจบลงในสมรภูมิจริง

3. จาก “รัฐเอาตัวรอด” สู่ “รัฐที่กำหนดอนาคต”

ประเทศไทยเคยใช้ชีวิตในโหมด “เอาตัวรอด” มานาน:

เราถูกสอนให้ “อย่าไปสู้กับใคร” แต่กลับไม่ได้ถูกสอนให้ “ออกแบบเกมของเราเอง”

เราถูกสอนให้ “พึ่งพาคนอื่น” มากกว่าที่จะ “พึ่งพาตนเอง”

ศึกละแวกยุคดิจิตัลคือสัญญาณเตือนว่า โหมดเอาตัวรอดไม่เพียงพออีกต่อไป

เราต้องเปลี่ยนเป็นโหมด “ผู้เล่นที่มีจุดยืนและวิสัยทัศน์ 50 ปี”

เราต้องทำให้ประเทศไทยไม่ใช่เพียง “จุดยุทธศาสตร์ของผู้อื่น” แต่เป็น ศูนย์กลางเสถียรภาพที่ผู้อื่นต้องเคารพ

○ บทสรุป:

สงครามทำให้เราเห็นว่ากระสุนไม่ใช่สิ่งที่ทำลายประเทศ แต่คือ ความแตกแยกภายในและความกลวงเปล่าภายในใจคน ต่างหาก

หากเราสร้างภูมิคุ้มกันเชิงจิตวิญญาณชาติได้—ด้วยประวัติศาสตร์ที่ตื่นรู้, สำนึกแห่งอธิปไตย, และวัฒนธรรมการตั้งคำถาม—เราจะไม่เพียงป้องกันสงครามตัวแทน แต่จะสร้างประเทศไทยที่ ยืนหยัดบนขาของตนเอง และมองไกลกว่าความกลัว

ศึกละแวกจึงอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ “การตื่นรู้ชาติไทย” หากเรากล้าที่จะเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงจริง ๆ

ด้วยความปรารถนาดี

~ สุวินัย ภรณวลัย

ข่าวล่าสุด

อินโดนีเซียทุ่ม 9 พันล้านดอลลาร์  ‘ซื้อเครื่องบินรบ J‑10 จากจีน’ 42 ลำ

อินโดนีเซียเตรียมเข้าซื้อเครื่องบินขับไล่ J-10C ของจีนซึ่งอาจทำให้อินโดนีเซีย กลายเป็นกองทัพต่างชาติรายที่สองที่ใช้งานเครื่องบินรบรุ่นนี้ ต่อจากปากีสถาน การเข้าซื้อครั้งนี้ถือเป็นการซื้อเครื่องบินรบที่ผลิตในจีน ครั้งแรกของอินโดนีเซีย

กฐินทาน.. มหากาลทาน ๑ ปี มีครั้งเดียว

กฐินทาน คือ การถวายผ้าแด่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงรักษาศีล สมาธิ และปัญญาอย่างเคร่งครัด หลังจากที่ได้จำพรรษาตลอดฤดูฝนในวัดหรืออารามแห่งใดแห่งหนึ่ง การถวายกฐินนี้ถือเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่ง เนื่องจากเป็นกาลทาน ที่นำมาซึ่งอานิสงส์อันมากมายให้แก่ผู้ที่ได้มีโอกาสทอดถวาย

 “มารยา” แห่งพนมเปญ  เมื่อกัมพูชาตระบัดสัตย์ปราบสแกมเมอร์

ความยินดีในการร่วมมือกับเกาหลีใต้เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนตกลายเป็นเพียงฉากหน้าของ “มารยาทางการทูต” เมื่อผู้นำกัมพูชาปฏิเสธการร่วมมือกับไทยอย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำยังผลักภาระให้ไทยไปแก้ปัญหาตนเองก่อน

วาระตกต่ำของ “ค่ายสีแดง” สะท้อนเกมอำนาจใหม่ เมื่อร่างรัฐธรรมนูญ “เพื่อไทย” ถูกโหวตคว่ำในสภา

มติที่ร่างฯ ถูกตีตกเพราะขาดเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิก เพียงหยิบมือ คือสัญญาณอันชัดเจนว่า กลไกอำนาจรัฐได้เปลี่ยนมือไปแล้วอย่างสมบูรณ์

ข่าวอื่นๆ

เปิดเสียงผี หมาหอน เครื่องบินรบ ทำให้ชาวกัมพูชากลัว นอนไม่ได้

กรณีที่คุณกันจอมพลัง ได้เปิดเสียงผี หมาหอน เครื่องบินรบ ทำให้ชาวกัมพูชากลัว นอนไม่ได้ จนรัฐบาลกัมพูชายื่นร้องเรียนการกระทำดังกล่าวต่อ UN

ทรัมป์พลาดโนเบลสันติภาพ ถูกมองเป็นคนหลงตัวเองแห่งศตวรรษ

รศ.ดร.เสรี พงศ์พิศ อดีตอธิการบดีสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก Seri Phongphit ระบุว่า... #รางวัลโนเบลสันติภาพที่มีคนอยากได้ใจจะขาด สะใจโก๋ที่นายทรัมป์ไม่ได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ที่เจ้าตัว “เรียกร้อง” อย่าง “หน้าด้าน” อ้างว่าไม่มี

“ศาลเตี้ย”  ของสื่อกับหลักของ Presumption of Innocence ความสมดุลระหว่าง เสรีภาพสื่อ กับ สิทธิจำเลย

การที่สื่อบางรายการนำประเด็นที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี มาถกเถียงอย่างเผ็ดร้อน โดยเฉพาะการเชิญ "แขกรับเชิญ" ที่มีส่วนได้ส่วนเสียหรือมีความคิดเห็นที่ชี้ขาด มา "ยำ" หรือซักไซร้ไล่เลียงอย่างหนักก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดนั้น ถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบต่อหลักการพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย ทั้งจริยธรรมสื่อ และธรรมาภิบาล