ไทยทริบูน วิเคราะห์ 31 สิงหาคม 2568
#ทหารบ้านกัมพูชา ในแนวหน้า กำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่บนโลกโซเชียล ด้วยการ #โพสต์คลิปใช้ชีวิตประจำวัน การฝึกและใช้อาวุธ แม้ #กองทัพกัมพูชา จะออกคำสั่งห้ามเผยแพร่เนื้อหาที่อาจเปิดเผย #ตำแหน่งยุทธศาสตร์
แต่ความพยายามของกองทัพกลับไม่อาจ #หยุดแรงจูงใจจากรายได้ และความต้องการได้รับ #การยอมรับในสังคม
เหตุผลสำคัญคือ “ค่าตอบแทนจากการประจำการไม่เพียงพอ” เงินช่วยเหลือหรือบริจาคจากผู้บังคับบัญชาและชาวบ้านมักมีจำนวนจำกัด ตัวอย่างเช่น ทหารบ้านบางรายได้รับเพียง 6,000 เรียลต่อหน่วย (ประมาณ 48 บาทไทย) ต่อเดือน ซึ่งไม่สามารถเลี้ยงชีพได้อย่างเพียงพอ
ทางเลือกที่เปิดโอกาสให้ทหารเหล่านี้คือ #รสร้างคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น #TikTok และ #YouTube โดย “รายได้มาจากยอดวิว ยอดไลค์ การสนับสนุนจากผู้ติดตาม” รวมถึงเงินบริจาคโดยตรงจากชาวบ้านหรือ #อินฟลูเอนเซอร์ ในกัมพูชา รายได้เหล่านี้สามารถสร้างเงินได้รวดเร็วและมากกว่าที่กองทัพจ่าย ทำให้ทหารให้ความสำคัญกับโซเชียลมากกว่าวินัยทางทหาร
นอกจากนี้ การทำคอนเทนต์ยัง #สร้างภาพลักษณ์วีรบุรุษ ในสายตา #สังคมออนไลน์ ซึ่งให้ “คุณค่าทางจิตใจและสังคม” เหนือ #คำสั่งทางทหาร ทหารบ้านบางคนยอมละเมิดวินัยและกฎกองทัพ เพราะเห็นว่าผลประโยชน์ทางการเงินและความยอมรับในสังคมออนไลน์มีค่ามากกว่าความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูลยุทธศาสตร์
การโพสต์คลิปและภาพถ่ายจากแนวหน้าของทหารบ้านกัมพูชาบนโซเชียลมีเดีย ไม่เพียงแต่สร้างรายได้และภาพลักษณ์วีรบุรุษในสายตาสังคม แต่ยัง เปิดเผยตำแหน่งยุทธศาสตร์และฐานปฏิบัติการสำคัญ ของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง หากพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่การสู้รบเต็มรูปแบบเหมือน #สงครามรัสเซีย_ยูเครน ผลลัพธ์คงต่างออกไป
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ในกรณีพื้นที่ที่มีความขัดแย้งรุนแรง การเปิดเผยพิกัดและฐานปฏิบัติการต่อสาธารณะ จะกลายเป็น เป้าหมายโจมตีโดยตรง ด้วยอาวุธหนัก เช่น ระเบิด, ปืนใหญ่ หรือโดรน ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ทหารบ้านกัมพูชาอาจเสียชีวิตทันที ขณะเดียวกันโอกาสสร้างคอนเทนต์ก็แทบไม่มี
อย่างไรก็ดี ความโชคดีของทหารบ้านกัมพูชาคือ ไทยไม่ได้มีการโจมตีหรือปฏิบัติการเชิงรุกในพื้นที่เหล่านี้ ทำให้พวกเขาสามารถถ่ายทำชีวิตประจำวันและอาวุธที่ใช้งานอยู่บนแนวหน้าต่อเนื่องโดยไม่มีอันตรายร้ายแรงเกิดขึ้น
นี่คือ ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคอนเทนต์ยอดนิยม ที่ชี้ให้เห็นว่า แม้การทำคอนเทนต์เป็นแหล่งรายได้และเครื่องมือสร้างภาพลักษณ์ แต่หากสถานการณ์เปลี่ยนเป็นสงครามเต็มรูปแบบเหมือนยูเครน ทุกอย่างอาจกลับกลายเป็น ความตายและความสูญเสียทันที
การโพสต์คอนเทนต์บนแนวหน้าของทหารกัมพูชาเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่ยินยอมจะรับ พวกเขาโชคดีที่พื้นที่สงบและไม่ได้เผชิญสงครามรุนแรง แต่หากสภาพแวดล้อมเปลี่ยนเป็นเช่นรัสเซีย–ยูเครน ทหารเหล่านี้คงไม่มีเวลามาถ่ายคลิปหรือสร้างคอนเทนต์เพื่อรายได้อีกต่อไป
สรุปได้ว่า การโพสต์คอนเทนต์ของทหารบ้านกัมพูชาไม่ได้เป็นเพียงความสนุกหรือการแชร์ชีวิตประจำวัน แต่สะท้อนถึง ความล้มเหลวในการสร้างแรงจูงใจทางการเงินของกองทัพ และการผสมผสานระหว่าง แรงจูงใจทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ทางสังคม ที่ทำให้พวกเขาพร้อม “ข้ามคำสั่ง” เพื่อให้ตัวเองและรายได้โดดเด่นบนโลกออนไลน์ แม้จะเสี่ยงต่อความปลอดภัยของยุทธศาสตร์กองทัพ