วันนี้ (29 กันยายน 2568) รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล เตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ท่ามกลางวาระบริหารประเทศที่จำกัดเพียง 4 เดือน โดยการวิเคราะห์ล่วงหน้าชี้ว่า หัวใจสำคัญของคำแถลงไม่ได้อยู่แค่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่เป็นการรักษาสัจจะทางการเมืองตามข้อตกลง (MOA) ผ่านการผลักดัน 2 ประเด็นละเอียดอ่อนที่ต้องทำให้เป็นรูปธรรม ได้แก่ การเริ่มกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ การคลี่คลายข้อพิพาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งจะเป็นเดิมพันชี้วัดความชอบธรรมและเสถียรภาพของรัฐบาลชุดนี้
จากประเด็นหลักและเงื่อนไขวาระสั้น ในร่างคำแถลงนโยบายที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ได้แบ่งนโยบายออกเป็นส่วนเร่งด่วน 4-5 ด้าน โดยมีเป้าหมายหลักในการแก้ปัญหาปากท้องและค่าครองชีพ เช่น โครงการคนละครึ่ง และการแก้หนี้สินฐานราก อย่างไรก็ตาม ด้วยการประกาศยุบสภาภายในเดือนมกราคม 2569 ทำให้รัฐบาลต้องแสดงความมุ่งมั่นต่อนโยบายเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะประเด็นการเมืองและการต่างประเทศที่มีความอ่อนไหวสูง
ประเด็นแรกที่ถูกจับตาคือ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล แม้รัฐบาลจะไม่สามารถแก้ไขสำเร็จได้ใน 4 เดือน แต่ความสำเร็จจะถูกวัดที่การ “เริ่มต้นกระบวนการ” อย่างจริงจัง รัฐบาลจำเป็นต้องระบุกรอบเวลาและขั้นตอนที่ชัดเจนสำหรับการ “จัดทำประชามติ” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณะว่า ข้อตกลงทางการเมืองดังกล่าวไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจเท่านั้น แต่เป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นจุดที่ฝ่ายค้านจะใช้ในการอภิปรายและตรวจสอบอย่างเข้มข้นที่สุด
ที่สำคัญการเดิมพันความมั่นคง ในการคลี่คลายข้อพิพาทชายแดน
“การแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา” โดยเน้นการใช้แนวทางสันติวิธีและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ การบรรจุวาระนี้ในนโยบายสะท้อนถึงความพยายามในการคลี่คลายปมปัญหาที่สะสมมานาน โดยเฉพาะพื้นที่ทับซ้อนและการรุกล้ำอธิปไตย ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นวาระการเมือง การทำให้เป็นรูปธรรมคือการ “เริ่มต้นการเจรจาระดับคณะกรรมการร่วม” อย่างเป็นทางการ และการส่งสัญญาณเชิงบวกผ่านกิจกรรมทางเศรษฐกิจบริเวณชายแดน เพื่อสร้างความคืบหน้าที่จับต้องได้ก่อนสิ้นสุดวาระของรัฐบาลชั่วคราว
การแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล จึงเป็นบทพิสูจน์ที่หนักอึ้ง ไม่ใช่แค่เรื่องเงินในกระเป๋าของประชาชน แต่คือความสามารถในการบริหาร “พันธสัญญาทางการเมือง” และ “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” ภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลา รัฐบาลต้องแสดงท่าทีอย่างชัดเจนด้วยการแถลงในที่ประชุมรัฐสภา เป็นวิสัยทัศน์ที่รัดกุมในการใช้ 4 เดือนนี้เป็นรากฐาน ไม่ใช่การบริหารหาเสียงเพื่อการเลือกตั้งคราวหน้า
ที่สำคัญไม่น้อยกว่ากัน คือการอภิปรายของฝ่ายค้านตลอดสองวันจะเป็นเครื่องชั่งน้ำหนักที่ใช้ตัดสินว่ารัฐบาลชุดนี้สมควรได้รับความเชื่อมั่นจากรัฐสภาและประชาชนเพียงใด



