ชื่อ “ปลาทู” ในภาษาไทยนั้นมีที่มาจากภาษาโปรตุเกสว่า “Patudo” (ปาตูดู)
ในอดีต โปรตุเกสเป็นชาติแรก ๆ ที่เข้ามาค้าขายและเผยแพร่วัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยด้วย
เมื่อชาวโปรตุเกสได้พบกับปลาชนิดนี้ ซึ่งเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญในแถบนี้ จึงเรียกปลาชนิดนี้ตามภาษาของตนว่า “Patudo”
จากนั้น คำว่า “Patudo” ก็ได้เพี้ยนเสียงและถูกนำมาใช้ในภาษาไทยจนกลายเป็น “ปลาทู” อย่างที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน
ดังนั้น ชื่อ “ปลาทู” จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการรับอิทธิพลทางภาษาและวัฒนธรรมระหว่างประเทศนั่นเอง
ปลาทู (ชื่อวิทยาศาสตร์: Rastrelliger brachysoma) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาอินทรี จัดอยู่ในกลุ่มปลาแมกเคอเรล เป็นปลาที่คนไทยนิยมบริโภคอย่างแพร่หลาย และเป็นปลาเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยมาตั้งแต่อดีต
ชาวประมงไทยมักจะแบ่งปลาทูออกเป็น “ปลาสั้น” (หมายถึงปลาทูไทยแท้ หรือ Rastrelliger brachysoma) ซึ่งมีลักษณะหน้างอ คอหัก และ “ปลายาว” ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ เช่น ปลาลัง หรือปลาทูโม่ง (Rastrelliger kanagurta) และปลาทูปากจิ้งจก (Rastrelliger faughni) ซึ่งลักษณะและเนื้อสัมผัสจะแตกต่างจากปลาทูไทย
ปลาทูเป็นปลาทะเลที่อาศัยอยู่บริเวณผิวน้ำถึงกลางน้ำ และรวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ พบแพร่กระจายทั่วไปทั้งในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน โดยเฉพาะบริเวณอ่าวไทยตอนใน (อ่าวไทยรูปตัว ก) เช่น จังหวัดสมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี เป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางอาหาร ทำให้ปลาทูจากแหล่งนี้มีรสชาติดีและมีความมันมาก โดยเฉพาะ “ปลาทูแม่กลอง” ที่ขึ้นชื่อเรื่องเอกลักษณ์ “หน้างอ คอหัก”
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันปริมาณปลาทูในท้องทะเลไทยลดลงอย่างมาก ทำให้มีการนำเข้าปลาทูจากต่างประเทศเข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมาก
Cr. The Earth