หลังจากเหตุการณ์สู้รบรุนแรงยาวนานกว่า 5 วันที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากที่ยังไม่อาจเปิดเผยได้และพลัดถิ่นรวมกว่า 300,000 คนในชายแดนไทย–กัมพูชานั้น ทั้งสองฝ่ายได้ตอบรับข้อเสนอหยุดยิงแบบ “ทันทีและไม่มีเงื่อนไข” ที่ดำเนินการผ่านการไกล่เกลี่ยของมาเลเซียโดยมีสหรัฐฯและจีนเข้าร่วมสนับสนุนและสังเกตุการณ์
หลังข้อตกลงหยุดยิงถูกเผยแพร่ แม่ทัพระดับสูงของทั้งสองประเทศได้หารือจัดทำ กฎ 7 ข้อ Ceasefire Protocol เพื่อควบคุมสถานการณ์ภาคสนาม
กฎ 7 ข้อตามข้อตกลงหยุดยิง
1. ยุติการเคลื่อนกำลัง ทั้งสองฝ่ายต้องหยุดเคลื่อนย้ายกำลังเข้าพื้นที่แนวชายแดนทันที
2. หยุดยิงทุกชนิด ห้ามใช้อาวุธหนักรวมถึงเครื่องบิน ปืนใหญ่ และระเบิดแบบใดก็ตาม
3. คืนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตให้กับสองฝ่ายภายในระยะเวลาที่กำหนด
4. เปิดพื้นที่ให้ที่ปรึกษาระหว่างประเทศเข้าตรวจสอบ เช่น ยอมให้ UN หรือผู้แทนอาเซียนสังเกตการณ์
5. ตั้งคณะทำงานร่วม (Coordination Teams) ระดับแม่ทัพภาคเพื่อสื่อสารระหว่างกันหากมีเหตุฉุกเฉิน
6. คืนดินแดนที่ยึดครอง หากฝ่ายใดเข้ายึดพื้นที่ที่ตกเป็นข้อพิพาท
7. เชิญหน่วยงานสังเกตการณ์อิสระเข้าเฝ้าติดตาม ตลอดช่วงบังคับใช้ข้อตกลงแรก
กฎข้อที่ 4–7 ได้รับการยืนยันจากตัวแทนทั้งสองว่าจำเป็นต่อความน่าเชื่อถือของ Protocol
การเจรจาครั้งนี้มีแม่ทัพไทยและแม่ทัพกัมพูชาเป็นผู้ลงนามโดยตรง ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ความขัดแย้งถูกยกระดับเป็นเรื่องระดับประเทศ ไม่ใช่เพียงเรื่องการปะทะเฉพาะกลุ่มทหารหน้าใดหน้าหนึ่งอีกต่อไป
กลไกเชิงเทคนิค อาทิ JBC, GBC, RBC ยังถูกเรียกใช้ต่อจาก Protocol เพื่อให้เกิดการติดตามในระยะยาว
แม้กฎเหล่านี้จะมีเป้าหมายเพื่อหยุดความรุนแรง แต่ข้อถกเถียงเรื่องการละเมิดได้เกิดขึ้นทันทีหลังการหยุดยิง — เช่นข้อกล่าวหากัมพูชายิงต่อเนื่องแม้ข้อตกลงหยุดยิงจะมีผลแล้ว ซึ่งฝ่ายไทยกล่าวหาอย่างน้อย 3 ครั้ง
ฝั่งกัมพูชาอ้างว่าไม่มีข้อมูลยืนยัน พร้อมเรียกร้องให้มี “กลไกตรวจสอบอิสระ” ตามข้อที่ 4–7 เพื่อให้การทำงานโปร่งใสและน่าเชื่อถือ
บทบาทระดับนานาชาติและผลประโยชน์ร่วมติดตามมาอยู่ในสถานการณ์ครั้งนี้ด้วย กล่าวคือ
มาเลเซีย ในฐานะเจ้าภาพไกล่เกลี่ย ได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางและยืนยันว่าสถานการณ์จะได้รับการเจรจาต่อผ่านไทย–กัมพูชาอย่างเป็นระบบ
สหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดี Trump ใช้กลไกการค้ากดดันว่า หากความรุนแรงไม่ยุติ ภาษีนำเข้า 36% จะถูกบังคับใช้ แรงจูงใจด้านเศรษฐกิจนี้ช่วยให้ประเทศไทยและกัมพูชายอมรับ Protocol อย่างเร็วขึ้น
อาเซียน โดยเฉพาะมาเลเซียและไทย ชี้ว่าควรเปิดโอกาสให้มีหน่วยงานในอาเซียน หรือ UN เข้ามาสังเกตการณ์เพื่อรับรองความถูกต้องของข้อตกลง
นักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศเห็นว่า การสู้รบ 5 วัน ครั้งนี้สมตามเจตนารมณ์ของกัมพูชา ที่แม้จะถูกมองว่าเป็นผู้จุดชนวนก่อเหตุ ก็เพื่อให้พ้นจากสถานการณ์การเมืองภายในที่เลวร้ายให้คลี่คลายได้และมาเลเซียเป็นคนกลางหาทางลงให้
สำหรับประเทศไทย แม้ว่าสถานการณ์การเมืองง่อนแง่นจากผู้นำ แต่ความเข้มแข็งของกองทัพกลับผลักดันให้โดดเด่นในสายตาประชาคมโลกที่ยึดมั่นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยแก้ปัญหาตามขั้นตอนอย่างระมัดระวังที่จะไม่ให้กระทบใด ความสัมพันธ์จนไม่อาจแก้ไขได้
กฎ 7 ข้อ Ceasefire Protocol หลังการหยุดยิง นับเป็นก้าวสำคัญทางยุทธศาสตร์ ที่จะเปลี่ยนจากการปะทะสู่การเจรจาโครงสร้าง โดยใช้โครงสร้างความเชื่อมั่นผ่านคณะกรรมการร่วมและหน่วยงานอิสระที่จะได้ตรวจสอบ
อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่าความเปราะบางยังคงมีสูงเพราะอาศัยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องจริงใจตามข้อตกลง และมีการตรวจสอบอย่างโปร่งใส หากไม่อาจทำได้สถานการณ์อาจกลับสู่ความตึงเครียด