“บางที่ในโลก…ซ่อนความจริงที่คุณไม่เคยคิดว่าจะมีอยู่ !”
คุณเคยเดินผ่าน “ประตู” ที่ไม่ใช่เพื่อออกหรือเข้า…แต่เพื่อเปลี่ยนบางอย่างในตัวคุณตลอดไปหรือเปล่า?
ในเช้าหมอกหนาที่เกียวโต ผมยืนอยู่ตรงเชิงเขาอินาริ แหงนมองซุ้มโทริอิสีแดงส้ม ที่ทอดยาวเหมือนไร้ที่สิ้นสุด ประตูแล้วประตูอีก เรียงตัวเป็นอุโมงค์หมื่นช่องทาง ราวกับบังคับให้คุณเดินเข้าสู่พิธีกรรมเงียบงันที่ไม่มีใครยอมบอกว่ามันคืออะไร
แสงแดดอ่อนยามเช้าเล็ดลอดผ่านช่องว่างระหว่างเสาเป็นริ้ว
เหมือนเงาของคมดาบนคอคุณ
จากสนามบินสุวรรณภูมิ ใช้เวลาบินราว 5 ชั่วโมงถึงคันไซ (KIX) จากนั้นนั่งรถไฟ JR Nara Line แค่ 5 นาทีจากเกียวโต ก็ถึงสถานี Inari ตรงข้ามศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริแทบพอดี
ถ้าคุณมากลางคืน…จะเจอความเงียบที่ทำให้เสียงฝีเท้าของตัวเองดังจนน่าขนลุก
ข้างศาลเจ้ามีร้านขาย “อินาริซูชิ” ข้าวห่อเต้าหู้ทอดรสหวานเค็ม เขาเรียก “อินาริซูชิ” กับอุด้งหน้าหมูทอดเต้าหู้ เรียกว่า “คิทสึเนะอุด้ง” กินง่าย ๆ ที่อร่อยจริง ๆ
อร่อยแบบว่าเป็นของโปรดของเทพจิ้งจอกผู้พิทักษ์ศาลเจ้า รสหวานเค็มนุ่มลิ้น
อร่อยมากกว่าเดิมอีก ถ้าได้เลาะเล็มรอบริมฝีปากที่ส่วนผสมยังหลงเหลือ ก่อนคุณจะออกเดินเข้าสู่อุโมงค์แดงที่รออยู่ข้างหน้า
เมื่อก้าวสู่โทริอิต้นแรก เสียงของเมืองหายไปทันที เหลือเพียงเสียงเท้ากระทบพื้นหิน “กุก…กุก…” ที่สะท้อนอยู่ในอุโมงค์แดง เสาโทริอิเหมือนตั้งใจบังคับให้คุณเดินช้าลง ก้มหน้ามองพื้น และไม่มองกลับหลัง

ทุก ๆ 50-100 เมตรจะมีป้ายเล็ก ๆ จารึกชื่อผู้บริจาคและปีที่ตั้ง บางป้ายมีหมึกจางเหมือนโดนฝนชะซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งที่เสานั้นเพิ่งซ่อมไม่กี่ปี บางต้นกลับมีรอยขีดเป็นทางยาว…คล้ายเล็บจิ้งจอก
ฟุชิมิ อินาริสร้างขึ้นเมื่อกว่า 1,300 ปีก่อนเพื่อบูชาเทพอินาริ เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ การค้า และข้าวสาร แต่ตลอดทางเดินโทริอิหลายพันต้นนั้น…ก็มีตำนานอีกด้านที่ไม่ค่อยถูกเล่าให้คนแปลกหน้าฟัง
ว่ากันว่ามีโทริอิบางต้น “ไม่ใช่ของมนุษย์”
บางคืน เสาที่เพิ่งทาสีใหม่จะซีดลงภายในชั่วข้ามคืน เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นคอยลูบเอาสีไป
บางคนที่เดินขึ้นเขาคนเดียวหลังเที่ยงคืน เล่าว่าได้ยินเสียง “กุก…กุก…” เหมือนเล็บจิ้งจอกเกาพื้นไม้
และบางคนที่ถ่ายภาพโทริอิกลับไป พบเงาที่เดินตามหลัง…ทั้งที่วันนั้นไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย
มีเรื่องเล่าที่ไม่ควรเล่า ผมฟังมาแล้วอยากจะเล่า…
ในปี 1987 นักศึกษาชาวออสเตรเลียสามคนมาท่องเที่ยวและตั้งใจจะเดินขึ้นถึงยอดเขาในคืนฮาโลวีน พวกเขาถ่ายภาพและหัวเราะตลอดทางจนถึงโทริอิหมายเลข 768
คุณคงรู่นะว่า เสาแต่ละต้นมีหมายเลขเล็ก ๆ ที่คนทั่วไปไม่เคยสังเกตตืดไว้ หลังจากนั้นเสียงหัวเราะในเทปบันทึกกลายเป็นเสียงหอบหนัก ๆ เหมือนมีใครอีกคนร่วมทาง ทั้งที่ภาพถ่ายมีเพียงเงาของสี่คน
หนึ่งในนั้นเล่าว่า เห็นผู้หญิงในกิโมโนสีขาวยืนอยู่ข้างหน้า แต่เมื่อเดินแซง…เสื้อผ้าของเธอเป็นสีแดงส้มเหมือนเสาโทริอิ และร่างเธอก็หายไปกับเสาต้นถัดไปทันที
สองเดือนหลังกลับประเทศ นักศึกษาคนที่เล่าเรื่องนี้เสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในวัย 22 ปี อีกสองคนไม่เคยกลับมาญี่ปุ่นอีกเลย
หลายคนคิดว่าโทริอิเป็นเพียงสัญลักษณ์แบ่งเขตศักดิ์สิทธิ์กับโลกมนุษย์ แต่พระชินโตผู้เฒ่าคนหนึ่งบอกผมเบา ๆ ระหว่างเรานั่งจิบชาในลานศาลเจ้า
“โทริอิ…ไม่ใช่แค่ประตูเข้าสู่ศาลเจ้า แต่เป็นประตูออกจากสิ่งที่คุณเคยเป็น”
เขาว่า บางคนเดินผ่านโทริอิครบพันต้นแล้วกลับลงมา “ไม่เหมือนเดิม”
ไม่ใช่ว่าเสียสติ…แต่เป็นเพราะบางอย่างในใจคุณถูกทิ้งไว้ข้างบน
และบางอย่างจากข้างบน…เดินลงมากับคุณแทน
ผมเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะก้าวต่อเข้าสู่โทริอิต้นถัดไป เสียงลมพัดลอดซุ้มดัง “ฮืม…” คล้ายเสียงหายใจของสิ่งมีชีวิต
แล้วคุณจะเข้าใจ…ว่าทำไมผมถึงอยากให้คุณมาด้วย
คุณคิดอะไรอยู่…!