1) ฝรั่งเศส: ดอกเบี้ยที่กัดกินอนาคต
หนี้สาธารณะฝรั่งเศสพุ่งทะลุ 114% ของ GDP หรือกว่า 3.3 ล้านล้านยูโร—ตัวเลขที่สูงกว่ามูลค่าที่ประเทศผลิตได้ในหนึ่งปีเสียอีก
สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือ “โครงสร้างหนี้” ที่กำลังผูกประเทศทั้งประเทศไว้กับดอกเบี้ย
ทุกปี รัฐบาลฝรั่งเศสต้องกันงบประมาณกว่า 2% ของ GDP เพียงเพื่อจ่ายดอกเบี้ย—เงินมหาศาลที่ไม่เคยสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล หรือโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ เลยแม้แต่ยูโรเดียว
ต่างจากญี่ปุ่นที่เจ้าหนี้ส่วนใหญ่เป็นคนในประเทศ ฝรั่งเศสกลับพึ่งพานักลงทุนต่างชาติกว่าครึ่งหนึ่ง ความเปราะบางจึงสูงขึ้นหลายเท่า เมื่อไรที่ตลาดโลกสะดุด เมื่อนั้นคือจุดเสี่ยงระเบิดหนี้ทันที
และที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือการเมืองที่เล่นแต่เกมสั้น ประชานิยมรัฐสวัสดิการถูกใช้เป็นเครื่องมือรักษาคะแนนเสียง มากกว่าการรักษาเสถียรภาพระยะยาวของชาติ สุดท้ายฝรั่งเศสจึงกำลังเดินบนเส้นทางที่กรีซเคยล้มลงเมื่อปี 2010—เพียงแต่ครั้งนี้ ถ้า “ฝรั่งเศสล้ม” ทั้งยูโรโซนอาจสั่นสะเทือน
2) ญี่ปุ่น: มหาเศรษฐีที่ถูกขังในบ้านตัวเอง
ญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะสูงที่สุดในโลก—เกิน 250% ของ GDP ตัวเลขที่ทำให้ประเทศอื่นล้มไปแล้วหลายรอบ แต่ญี่ปุ่นยังยืนอยู่ได้ เพราะกว่า 90% ของหนี้นั้นถือโดยประชาชนญี่ปุ่นเอง
นี่คือ กับดักเยน: ประเทศที่ใช้เงินออมมหาศาลของประชาชนมาหล่อเลี้ยงรัฐ โดยแลกกับการอยู่ในสภาวะเงินฝืด การเติบโตต่ำ และประชากรสูงวัยมายาวนาน
ญี่ปุ่นไม่ได้ “ระเบิด” เหมือนกรีซหรือเสี่ยง “จุดล้มละลาย” แบบฝรั่งเศส แต่ถูก “กักขัง” อยู่ในโซ่ตรวนหนี้ที่ยาวนานเกินสามทศวรรษ—ประเทศที่ไม่ล้มแต่ก็ไม่โต ประเทศที่ยังหายใจ แต่ไม่ก้าวไปข้างหน้า
3) อเมริกา: จักรวรรดิที่เป็นหนี้ด้วยเงินของโลก
อเมริกามีหนี้สาธารณะกว่า 34 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่า 120% ของ GDP แต่กลับยังเป็นประเทศที่กู้เงินได้ไม่รู้จบ
ความต่างคือ ดอลลาร์—เงินของโลกที่ทุกประเทศต้องถือเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ หนี้ของอเมริกาจึงถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” โดยปริยาย
แต่กับดักจริงของอเมริกา คือการใช้หนี้เพื่อเลี้ยงจักรวรรดิ—กองทัพ, ฐานทัพ, และสงครามทั่วโลก วันใดที่ดอลลาร์ถูกท้าทายจากหยวนหรือ BRICS หนี้ของอเมริกาจะไม่ใช่เสาหลักจักรวรรดิอีกต่อไป แต่กลายเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจุดชนวนการล่มสลายของ Pax Americana
4) ไทย: เงาของทั้งสามกับดักรวมกัน
ไทยในวันนี้คือเงาสะท้อนผสมระหว่างฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และอเมริกา แต่ไร้ภูมิคุ้มกันใด ๆ
หนี้ครัวเรือนสูงเกือบ 90% ของ GDP → คนไทยจำนวนมากใช้ชีวิตเหมือนฝรั่งเศส คือทำงานเพื่อจ่ายดอกเบี้ยบ้าน รถ และบัตรเครดิต มากกว่าสร้างอนาคต
หนี้สาธารณะพุ่งขึ้นทุกปี → รัฐบาลใช้หนี้เพื่ออุดหนุนประชานิยมคล้ายฝรั่งเศส แต่การเมืองไร้เสถียรภาพมากกว่า
เศรษฐกิจโตต่ำและประชากรแก่ตัวเร็ว → เส้นทางเดียวกับญี่ปุ่น แต่เราไม่มีทุนสะสมมหาศาลแบบเขา
การพึ่งพาตลาดเงินโลกสูง → ต่างชาติถือพันธบัตรไทยจำนวนไม่น้อย แต่เงินบาทไม่ใช่สกุลโลกแบบดอลลาร์ ไม่มีเกราะป้องกันเหมือนอเมริกา
กล่าวอีกแบบ ไทยคือ “ประเทศเล็กที่รับกับดักทั้งสามแบบมาพร้อมกัน แต่ไม่มีภูมิคุ้มกันแบบใดเลย”

5) สัญญาณเตือน 7 ประการของกับดักหนี้ไทย
1. หนี้ครัวเรือนกลืนอนาคตคนรุ่นใหม่
2. รัฐบาลใช้หนี้เพื่อซื้อเวลาทางการเมือง
3. ระบบสวัสดิการที่ยังไม่ยั่งยืน แต่ถูกอัดด้วยหนี้
4. เศรษฐกิจโตต่ำเข้าสู่กับดักญี่ปุ่น แต่ไร้ทุนสะสม
5. ความเปราะบางค่าเงิน–ดอกเบี้ยพึ่งพาตลาดต่างชาติ
6. การเมืองไร้เสถียรภาพ ไม่กล้าปฏิรูปเชิงโครงสร้าง
7. ความเหลื่อมล้ำที่หนี้ซ้ำเติม จนคนส่วนใหญ่ไม่เหลือพื้นที่หายใจ
6) สภาวะต้มกบและการล่มสลายของชนชั้นกลางไทย
กับดักหนี้ไม่เพียงกัดกินงบประมาณรัฐ หากยังกัดกินชีวิตคนไทยทีละน้อย โดยเฉพาะชนชั้นกลางที่เป็น “กระดูกสันหลังของสังคม”
สภาวะนี้เหมือน กบถูกต้มในหม้อ:
– ดอกเบี้ยบ้านที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยทุกไตรมาส
– ค่าครองชีพที่สูงขึ้นเร็วกว่าเงินเดือน
– รายได้ที่แท้จริงถดถอย แต่หนี้สินไม่เคยหยุด
กบไม่กระโดดหนี เพราะความร้อนค่อย ๆ เพิ่มขึ้นช้า ๆ เช่นเดียวกับชนชั้นกลางไทยที่ค่อย ๆ สูญเสียกำลังซื้อ โดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลัง “ถูกต้ม”
ผลคืออะไร?
– ครัวเรือนชนชั้นกลาง ต้องทำงานสองถึงสามงานเพื่อผ่อนหนี้
– การออมระยะยาวหายไป เพราะถูกดอกเบี้ยกลืนทุกเดือน
– ความมั่นคงชีวิตสั่นคลอน ไม่มีเงินเก็บฉุกเฉิน ไม่มีเงินบำนาญ
– ความฝันของลูกหลานถูกบีบลง จาก “เรียนต่อเมืองนอก–ตั้งตัวได้” กลายเป็น “อย่าให้หลุดไปเป็นแรงงานนอกระบบ”
ชนชั้นกลางที่เคยเป็น “กำแพงกันชน” ของประเทศ กำลังถูกทำให้บางลงและเปราะบางลงอย่างเงียบเชียบ
นี่คือการล่มสลายที่ไม่ใช่ภาพโศกนาฏกรรมฉับพลันเหมือนกรีซ แต่คือการ ต้มกบแบบไทย—ล่มสลายอย่างเงียบงัน แต่ลึกซึ้งจนแก้ยาก
7) ผลกระทบจาก AI ที่จะมาแทนที่งานของชนชั้นกลางไทยในอีก 5 ปีข้างหน้า
ชนชั้นกลางไทยที่กำลังถูกหนี้ต้มทีละน้อย จะต้องเผชิญ คลื่นซัดซ้ำจาก AI ในเวลาไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะกวาดล้าง “งานที่มั่นคง” ที่เคยเป็นเสาหลักของครอบครัวไทย
7.1 งานสำนักงาน–เอกสาร
– นักกฎหมายรุ่นใหม่ → ถูกแทนด้วย AI ที่อ่านคดี–ร่างสัญญาได้ในเสี้ยววินาที
– นักบัญชี → โปรแกรมบัญชีอัตโนมัติ + AI audit จะลดความต้องการคนลงมหาศาล
– นักข่าวรายงาน/นักวิเคราะห์ข้อมูล → ถูกแทนด้วย AI ที่สังเคราะห์ข้อมูลทันที
7.2 งานบริการ–คอลเซ็นเตอร์
– Call center → chatbot ภาษาไทย–อังกฤษ–จีน ที่ตอบได้ 24 ชม. จะกินตลาด
– งานขาย/บริการลูกค้า → AI CRM รู้ใจลูกค้ามากกว่าคนจริง
7.3 งานการเงิน–การตลาด
– นักวิเคราะห์ตลาดหลักทรัพย์ → AI quant trading ทำงานได้เร็วกว่า–แม่นกว่า
– นักการตลาด → AI สร้าง content เฉพาะบุคคล ยิงโฆษณาตรงจิตวิทยาผู้บริโภค
7.4 ภาคอุตสาหกรรม–โลจิสติกส์
– งานจัดการคลังสินค้า → หุ่นยนต์ + AI logistics แทนคนจัดเรียง คำนวณเส้นทาง
– งานโรงงานทักษะกลาง → automation + AI inspection ตรวจคุณภาพได้ไวกว่า
ผลรวม: ชนชั้นกลางไทยถูกบีบสองด้าน
1. รายได้หดลงเพราะถูก AI แทนที่ → งานที่เคยมั่นคงกลายเป็น “งานไม่จำเป็น”
2. หนี้สินยังโตต่อเนื่อง → ดอกเบี้ยกัดกินทุกเดือน
ชนชั้นกลางที่เคยเป็น เสาหลัก ของประเทศ จะกลายเป็น จุดเปราะบางที่สุด ในเวลาไม่ถึง 5 ปีข้างหน้า
8) บทสรุป: หนี้คือเรื่องของอารยธรรมการเมือง
ฝรั่งเศสสะท้อนภาพการเมืองเกมสั้น ญี่ปุ่นสะท้อนภาพการยืดเวลาโดยไม่เติบโต อเมริกาสะท้อนภาพจักรวรรดิที่อยู่ได้เพราะสกุลเงินโลก
ส่วนไทยกำลังสะท้อน “เงาของทั้งหมด” โดยไม่มีเกราะใด ๆ มาป้องกัน
หนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขทางเศรษฐกิจ
หนี้คือเรื่องของ อารยธรรมการเมือง
และอนาคตไทยขึ้นกับว่าเราจะยังปล่อยให้การเมืองซื้อเวลา ด้วยการขายอนาคตลูกหลานไปเรื่อย ๆ หรือไม่
……
ผมเฝ้ามองเศรษฐกิจไทยคล้ายกบในหม้อที่ถูกเร่งไฟทีละน้อย
น้ำยังไม่เดือดพล่าน แต่ความร้อนคืบคลานอยู่ตลอดเวลา
ชนชั้นกลางที่เคยเป็นกระดูกสันหลังของสังคม กำลังถูกหนี้กัดกร่อนทีละชั้น—ทั้งหนี้บ้าน หนี้รถ หนี้บัตรเครดิต
และในอีกไม่เกินห้าปีข้างหน้า งานอีกจำนวนมากของชนชั้นกลางก็จะถูก AI กวาดล้างไปอย่างเงียบเชียบ
นี่มิใช่เพียงปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่คือ การล่มสลายของวิถีชีวิต
เมื่อชนชั้นกลางหดหาย ความมั่นคงทางการเมืองและสังคมย่อมสั่นคลอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บทความนี้ของผมคือเสียงตักเตือนจากมุมเล็ก ๆ ของนักวิชาการอิสระที่เกษียณจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปแล้ว ขณะที่เสียงส่วนใหญ่ของสังคมไทยยังคงถูกกลบด้วยกระแสรายวันและความบันเทิงที่เบี่ยงเบนความจริง
ผมรู้ทั้งรู้ว่าประเทศกำลังเดินเข้าสู่กับดักหนี้ลึกขึ้นทุกขณะ แต่ไม่อาจทำอะไรไปมากกว่าการบันทึกและชี้ให้เห็น
นี่คือความจริงที่ปวดร้าวของ “ผู้ที่แลเห็นอนาคต” แต่ไม่มีพลังจะหยุดยั้งมัน
อนาคตของเศรษฐกิจไทยจะรอดพ้นได้เพียงทางเดียว คือ การปฏิรูปโครงสร้างอย่างแท้จริง
ไม่ใช่ปฏิรูปเพื่อตกแต่งภาพ แต่คือการปฏิรูปที่ไปแตะรากเหง้าของระบบทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสถาบัน
หากทำไม่ได้ ประเทศนี้จะถูกไฟหนี้ เศรษฐกิจซบเซา และการสั่นคลอนของชนชั้นกลาง เผาไหม้ไปช้า ๆ ราวกับกบที่ถูกต้มจนตายโดยไม่รู้ตัว
นี่คือเสียงที่อยากฝากไว้—เสียงของคนที่มิได้แสวงหาผลประโยชน์ใด แต่หวังเพียงว่าผู้คนในแผ่นดินนี้จะมองเห็นอนาคตร่วมกัน และลงมือเปลี่ยนแปลงก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
~ สุวินัย ภรณวลัย