ช้าไปนิดสำหรับข้อเขียนชิ้นนี้ แต่ยังอยากแบ่งปันความข้องใจต่อ ป.ป.ช. กรณีความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 กับท่านผู้อ่านทุกท่าน โดยเราจะเริ่มต้นด้วยการลำดับเหตุการณ์เพื่อทบทวนความจำดังนี้
25 เมษายน 2568 คุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก คุณนิติธร ล้ำเหลือ และคุณสมชาย แสวงการ ได้ไปยื่นคำร้อบต่อป.ป.ซ. เอาผิดรัฐบาลเศรษฐา รัฐบาลแพทองธาร ส.ส.และสว ชุดปัจจุบันว่าฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ วรรค ๑ เนื่องจากไปแปรญัตติตัดงบประมาณส่วนที่เตรียมไว้สำหรับชำระหนี้ต่อธนาคารของรัฐ 5 แห่ง เป็นเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท
9 มิถุนายน 2568 ป.ป.ช. มีมติรับคำร้องไว้พิจารณา ใช้เวลาตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่ 39 วัน

29 ตุลาคม 2568 ที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติตั้งคณะไต่สวนนายเศรษฐา ทวีสิน และคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันรวมอยู่ด้วย แต่เห็นว่าไม่เข้าข่ายความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ตามคำร้อง และเห็นว่าเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ในประเด็นนำเงินกู้ไปใช้ผิดประเภท และเห็นว่าอดีตนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ จึงยุติการสอบสวนไป
ทบทวนอีกครั้งว่ารัฐบาลเศรษฐา หลังจากที่หาเสียงว่าจะแจกเงินคนละหมื่น และทำได้ทันที ทั้งในเอกสารที่ส่งให้ก.ก.ต.ยังระบุว่าไม่ต้องกู้เงิน แต่ถึงเวลาจริงๆ ไม่สามารถหาเงินจากงบประมาณแผ่นดินได้เพียงพอ จะต้องกู้เงิน แต่ก็กู้ไม่ทันในปีงบประมาณที่เข้าเป็นรัฐบาล หากจะกู้ต้องออกพ.ร.บ.เงินกู้โดยเฉพาะ ซึ่งก็ไม่กล้าทำ จึงนำเรื่องเข้า ค.ร.ม.ขอความเห็นชอบให้แปรญัตติ นำเงินงบประมาณที่ตั้งไว้เพื่อใช้หนี้ธนาคารของรัฐ 5 แห่ง เป็นเงิน 35,000 ล้านบาท โยกไปไว้ที่งบกลาง เพื่อนำไปแจกเงินหมื่น ตามนโยบาย digital wallet และเบี้ยวไม่ชำระหนี้ต่อธนาคารของรัฐทั้ง 5 แห่ง
มาตรา ๑๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 บัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา ๑๔๔ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการมิได้ แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้
(๒) ดอกเบี้ยเงินกู้
(๓) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมการธิการ การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาหรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้
ในขณะที่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ บัญญัติไว้ว่า
มาตรา ๑๕๗ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นี่คือความข้องใจว่า การแปรญัตติตัดงบประมาณที่เตรียมไว้สำหรับการชำระหนี้ธนาคารของรัฐ 5 แห่ง จำนวนเงิน 3.5 ล้านบาท แล้วโยกไปไว้ในงบกลางเพื่อนำเงินมาแจกตามนโยบาย digital wallet ไม่เข้าข่ายเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ วรรคหนึ่ง ได้อย่างไร เพราะวรรคหนึ่งระบุชัดว่าจะไปลดหรือตัดทอนรายจ่ายตามข้อผูกพัน กล่าวคือ เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมายไม่ได้ ครม ชุดคุณเศรษฐาอนุมัติให้ทำการแปรญัตติ โดยนำงบประมาณที่กำหนดไว้แล้วว่าจะนำไปใช้หนี้ ไม่ให้ชำระหนี้ แต่ไปแจกเงินตามนโยบาย digital wallet แทน จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๑๔๔ วรรคหนึ่งอย่างชัดแจ้ง แม้แต่อดีตตุลาการศาลธรรมนูญ ท่านจรัล ภักดีธนากุล ก็มีความเห็นเช่นนี้
หากจะตีความว่า สิ่งที่รัฐบาลคุณเศรษฐากระทำเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมาลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ อย่างนี้จึงฟังได้ หากบอกว่าไม่เข้าข่ายเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ เลย น่าจะไม่ถูกต้อง
ความแตกต่างระหว่างความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ อยู่ที่ ความผิดตามมาตรา ๑๕๗ เป็นคดีอาญา มีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท ในขณะที่มาตรา ๑๔๔ โทษคือพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีหรือตำแหน่งส.ส. และยังต้องชดใช้เงินที่แปรญัตติคืนให้แผ่นดิน
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดป.ป.ช.จึงมีความเห็นเช่นนั้น ข้อสังเกตคือ ป.ป.ช.ใช้เวลาพิจารณากรณีนี้นานมาก กว่าจะตัดสินว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาหรือไม่ ใช้เวลา 39 วัน กว่าจะมีมติให้ไต่สวนใช้เวลาอีกเกือบ 5 เดือน ทั้งที่รัฐธรรมนูญกำหนดว่า ให้ป.ช.ช. ดำเนินการสอบสวนเป็นทางลับโดยพลัน และหากเห็นว่าคดีมีมูล ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรมนูญ เพื่อดำเนินการต่อไป
การที่ป.ป.ช.ดูเหมือนจะไม่รีบเร่งดำเนินการแต่อย่างใด เป็นพราะ ป.ป.ช.เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน จึงดำเนินการด้วยความรอบคอบ หรือใช้เวลานานเพื่อหาทางออกไม่ให้เกิดสึนามิทางการเมือง หรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น ก็ยากที่ทราบได้ เพราะท่านประธานและคณะกรรมการป.ป.ช.เท่านั้นที่จะทราบ แต่ความเห็นของคนทั่วไปที่สนใจการเมือง และแน่นอนว่ารวมทั้งผู้ร้องทั้ง 4 ท่าน ล้วนเห็นว่า ป.ป.ช.ใช้เวลานานเกินไป
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร 3 พย 68



