ในขณะที่เรากำลังเห็น ระบบของสปสช. “จะล่มหรือไม่ล่ม” อยู่รอมร่อ ล่าสุดต้อง “ควักงบประมาณปีหน้า” มาใช้ก่อน เพื่อแก้หน้าให้โรงพยาบาลไม่ขาดสภาพคล่อง
แต่เจ้ากระทรวงกลับ ไม่ยอมรับว่าถึงเวลาต้องปฏิรูปอย่างจริงจัง
ทุกวันนี้คำว่า “สปสช.” ในสายตาของประชาชน กลายเป็นภาพขององค์กรที่
“ชักดาบ เบี้ยวหนี้ แก้ปัญหาไปทีละวัน”
เครดิตด้านธรรมาภิบาลและความเชื่อมั่น จึงตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่จัดตั้งองค์กรนี้มา
ในขณะที่ ระบบประกันสุขภาพของรัฐในรูปแบบสปสช.กำลังล้มเหลว
กลับมี ระบบประกันสุขภาพโดยเอกชน ที่ริเริ่มโดย “ฮีโร่กลุ่มเล็กๆ” จากกระทรวงสาธารณสุข
ผู้ที่ “ปิดทองหลังพระ” อย่างแท้จริง สร้างแพลตฟอร์มชื่อว่า iClaim
ระบบนี้กลับประสบความสำเร็จสูงสุด ทั้งในแง่ ความโปร่งใส การบูรณาการข้อมูล และความเชื่อมั่นของทุกฝ่าย
ทั้งผู้ป่วย ประชาชน ผู้ให้บริการ (provider) และผู้จ่ายเงิน (purchaser) ต่าง “แฮปปี้ด้วยกันทุกฝ่าย”
ระบบ iClaim ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเต็มรูปแบบ เชื่อมโยงข้อมูลได้แบบ real-time
ทุกอย่างตรวจสอบได้ หน้าบ้าน-หลังบ้านโปร่งใส ความผิดพลาดต่ำ ตรวจสอบเร็ว วิเคราะห์แม่นยำ
เป็นตัวอย่างของ “Data Integration” ที่แท้จริง และพิสูจน์แล้วว่าทำได้ในประเทศไทย
น่าเศร้าใจที่ใน ยุคของคุณหมอชลน่าน (พรรคเพื่อไทย) ซึ่งเห็นความสำเร็จของ iClaim อยู่ตรงหน้า
แทบจะก้าวสู่การปฏิรูประบบดิจิทัลของสปสช.ได้แล้ว
แต่เรื่องใหญ่ระดับนี้…ย่อม “ไปไม่รอด” เมื่อเจอตอเดิม
บุคคลเพียงสองสามคนในองค์กร ที่ยังยึดติดกับระบบอนาล็อก และคัดค้านการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง
ข้ออ้างที่นำมาใช้คือการมีอยู่ของระบบ Health Link ซึ่งพัฒนาโดยกระทรวงดิจิทัล (DE)
เป็นแอปฯ ฟรีที่ดูเหมือนจะทันสมัย แต่ผลงานที่ผ่านมา…พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวและผิดพลาดอย่างน่าเจ็บปวด นี่ก็ว่าจะมี App ที่เป็น Super App ไม่รู้จะ เหลวเหมือนเดิมอีกไหม ถ้าพัฒนาโดยกระทรวง DE เราก็ไม่ค่อยมั่นใจแล้วล่ะครับ
แทนที่จะเอาตัวอย่างความสำเร็จ ของ iClaim
กลับไปให้คนนอกกระทรวงสาสุข ที่มีหมอยุคอนาล็อกเป็นที่ปรึกษามาทำ
ดังนั้น เราขอสรุปว่า “สิ่งที่น่าเสียดาย” และ “อุปสรรคสำคัญในการปฏิรูปสปสช.”
สามารถสรุปได้เป็น 5 ข้อดังต่อไปนี้
1. บุคคลระดับสูงเก่าแก่ 3 คน ที่ยังยึดติดกับระบบอนาล็อก ขอเรียกย่อๆว่า ส.ว.ว.
ย่อมาจาก สูงวัยวุฒิ ใครจะไปถอดรหัสเอง เป็นชื่อคุณหมอ อย่ามาว่ากันนะครับ ผมบอกคำย่อแล้ว ว่าสูงวัยวุฒิ
ปัญหาหลักของ สปสช. ไม่ได้อยู่ที่ “ระบบ” เท่านั้น แต่อยู่ที่ “คน” โดยเฉพาะคนเพียง 2–3 คนในระดับสูงสุดที่ยังคงยึดติดกับวิธีคิดยุคอนาล็อก ทั้งที่ยุคนี้ควรขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (data-driven) และระบบดิจิทัลที่ตรวจสอบได้ โปร่งใส และลดการรั่วไหลของงบประมาณลงได้มากที่สุด อาจประหยัดเงินของชาติ หลายร้อยล้านหรือพันล้าน
บุคคลเหล่านี้ปฏิเสธการใช้ Big Data และ AI ในการวิเคราะห์การเบิกจ่าย ทั้งที่ต่างประเทศใช้ระบบเหล่านี้กันหมดแล้ว ผลลัพธ์คือการ “สุ่มตรวจแบบ manual” ที่ล้าสมัย ดำเนินมา 20 ปีเต็ม และเอื้อต่อการทุจริต หรือการบิดข้อมูล ในหลายรูปแบบ บิดการลงวินิจฉัยในช่อง Primary diagnosis บิดการคิด adjust RW ฯลฯ ไม่แปลกที่ปัญหาหนักสุดมักอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งซับซ้อนที่สุด มีทั้งคลินิกเอกชน โรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลหลายสังกัด แต่ยังถูกบริหารโดยทีมยุคเก่าที่ไม่เข้าใจระบบข้อมูลยุคใหม่ ผลที่เห็นคือ “การเบี้ยวหนี้”, “การคีย์ข้อมูลผิด”, “การตรวจสอบผิด” และ “การทุจริตที่ตรวจไม่พบ”
สัญญาณล่าสุดจากหมอรุ่นพี่บางท่านที่เคยร่วมกับหมอสงวน เช่น หมอสุรพงษ์ หรือหมอเลี้ยบ เริ่มออกมาพูดถึงการปฏิรูป ระบบข้อมูล แล้ว แต่ท่านเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งอำนาจจริงอีกต่อไป จึงไม่อาจหยุดยั้งกลุ่มอนาล็อกที่ยังคุมเกมได้
เรายังมองในแง่ดีว่ากลุ่มคนเหล่านี้ อาจไม่ได้รับผลประโยชน์ในทางตัวเงิน แต่ได้รับผลประโยชน์ในการได้รับการตอบแทน กลับเข้ามา เป็นหน้าเป็นตา เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล และเขาเหล่านี้ ก็มี Ego ที่ค่อนข้างสูงเสียด้วย ( ถ้ามีใครแอบอ่านอยู่ เราอยากขอร้องให้ท่าน เห็นแก่ประเทศชาติเถอะครับ ปล่อยวางเถอะครับ)
2. ระบบข้อมูลที่ไม่เชื่อมโยง (Data Integration Failure)
ทุกวันนี้ สปสช. ยังใช้ระบบตรวจสอบแบบสุ่ม 3% ซึ่งเป็นการทำงานแบบอนาล็อกเต็มรูปแบบ ทั้งที่โลกไปไกลถึงยุคของ data-driven AI audit แล้ว
ตัวอย่างที่ชัดคือระบบ iClaim ของบริษัทประกันเอกชน ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับโรงพยาบาลทั่วประเทศได้ทั้งรัฐและเอกชนอย่างสมบูรณ์ ใช้ AI วิเคราะห์ได้แบบ real-time และลดความผิดพลาดแทบเป็นศูนย์
ในทางตรงข้าม สปสช. กลับอ้างว่ามีระบบ “Health Link” ซึ่งเชื่อมข้อมูลผ่านแอปจากกระทรวงดิจิทัล แต่ในความเป็นจริงระบบนี้ยังไม่สามารถทำงานได้ครบวงจร ผลคือข้อมูลยังแยกส่วน และหนี้ค้างชำระจำนวนมากสะท้อนถึงความล้มเหลวของระบบตรวจสอบที่ยังไม่เป็นดิจิทัลแท้จริง
ผลคือเราต้องเห็นข่าว “สปสช.ชักดาบโรงพยาบาล” และ “ข้อมูลงานบริการผิดพลาด” ซ้ำซาก และปีนี้มากสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในระดับ 8 พันล้าน ชาวโรงพยาบาลออกมาเดินขบวนกัน เป็นแถว หลายโรงพยาบาลใหญ่ทั้งรัฐและเอกชน เดือดร้อนกันถ้วนหน้า
เรียกว่าเครดิตของสปสช. ตกต่ำที่สุดในรอบ 20 กว่าปี ทั้งหมดนี้เกิดจากการดื้อดึงที่จะไม่เปลี่ยนจากระบบ manual มาสู่ระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ
ทั้งๆที่มีโอกาสมาถึงแล้ว ในระบบ iClaim
( มันเป็นเรื่องของ Ego คนยุค analog)
3. การเมืองและประชานิยมครอบงำ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา รัฐมนตรีที่มากำกับกระทรวงสาธารณสุขส่วนใหญ่ไม่ใช่แพทย์ ทำให้ต้องพึ่งข้อมูลและข้อเสนอจากข้าราชการระดับสูงใน สปสช. ซึ่งก็คือ “กลุ่มเดิม” ที่ยังยึดแนวคิดอนาล็อกอยู่ ซึ่งก็จะเป็นผู้ชง นโยบายแนวทางใหม่ๆ อันจะสมประโยชน์แก่ฝ่ายการเมือง
เมื่อถูกใจนักการเมือง เขาเหล่านั้นก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นการตอบแทนกลับมา
นโยบายที่ออกมาจึงมักเป็น ประชานิยมทางสุขภาพ เช่น “30 บาททุกโรค” กลายเป็น “30 บาททุกที่” หรือ “ฟอกไตฟรีทุกรูปแบบ” โดยไม่สนใจว่าระบบจะรับภาระได้หรือไม่ บางโครงการมีข้อสงสัยเรื่องเงินทอน ส่วนโครงการ “นวัตกรรมใหม่ๆ” เช่น IVF, HBOT, หรืออาจมีในอนาคตเช่น stem cell หรือ gene therapy ก็ถูกดึงเข้ามาแบบไม่ผ่านระบบวิเคราะห์เชิงข้อมูลและผลกระทบทางงบประมาณ และมีข้อสงสัยถึง การโยกงบประมาณผู้ป่วยใน ที่เดิมมีมหาศาล ไป เป็น นวัตกรรม จน กลายเป็น เกิดความผิดพลาดในการบริหารงบประมาณ ผู้ป่วยใน
4. กลุ่ม NGO ที่ยึดประชานิยมเป็นหลัก
อีกกลุ่มที่ขัดขวางการปฏิรูปคือ NGO บางส่วนที่ยึดแนวคิด “ประชาชนต้องไม่ร่วมจ่าย” แม้จะรู้ว่าระบบกำลังถึงทางตัน ความตั้งใจของพวกเขา
แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่เจตนาปกป้องประชาชน แต่การปฏิเสธทุกความเปลี่ยนแปลงทางเทคนิค เช่น การใช้ digital audit หรือการลด human error กลับทำให้ระบบยิ่งอ่อนแอ ซึ่งส่วนนี้เขาอาจจะ คิดไม่ถึง อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเราไม่แน่ใจเจตนา
กลุ่มนี้จะหาแนวร่วมในการต่อต้านการร่วมจ่ายในทุกเวที และจะไม่ได้ พูดถึงเรื่องการปฏิรูป ระบบข้อมูลและความโปร่งใส อาจมีบางครั้งพูดถึง งบประมาณที่ถูกจ่ายไปให้ Provider ในส่วนของค่าตอบแทนของแพทย์ ซึ่งเรื่องนี้ Admin ไม่ค่อยสบายใจเพราะ เสมือนสร้างภาพว่าคนเรียกร้องปฏิรูปคือผู้เสียผลประโยชน์ ซึ่งมันไม่ใช่ ยิ่งปีนี้มันเดือดร้อนกันไปหมด ทุกระดับ แพทย์ พยาบาลเวรเปล โรงพยาบาล มันเดือดร้อนของจริง
5. กฎหมายเก่าที่หมดอายุความคิด (The 23-Year-Old Law)
พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ผ่านมา 23 ปีแล้ว แต่ไม่เคยมีการปรับให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล
ปัญหาหลักคือไม่มีระบบตรวจสอบหรือ audit โดยหน่วยงานอิสระ ไม่มีการจำกัดวาระของกรรมการ ทำให้คนกลุ่มเดิมวนเวียนอยู่ในระบบไม่สิ้นสุด
โครงสร้างกรรมการไม่เปิดให้ ผู้ให้บริการ หรือ stakeholder ที่เกี่ยวข้อง เข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ซึ่งขัดกับหลัก participation ของธรรมาภิบาล
การหมุนเวียนตำแหน่งระหว่าง “กรรมการใหญ่ – ประธานเขต – ผู้ทรงคุณวุฒิ” ทำให้เกิดเครือข่ายอำนาจซ้ำซ้อน จนไม่เหลือพื้นที่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ด้านการบริหารข้อมูลและเทคโนโลยี
สรุป
สปสช. ในวันนี้จึงไม่ได้ติดขัดเพราะ “เงินไม่พอ” หรือ “ประชาชนต้องการมากไป”
แต่ติดอยู่ที่ “โครงสร้างอำนาจ และตัวบุคคล แบบอนาล็อก” ที่ไม่ยอมให้เทคโนโลยี โปร่งใส และธรรมาภิบาลเข้ามาแทนที่ อีกทั้ง บางส่วนมีการกระตุ้นให้เกิด อุปสงค์เทียม จากระบบประชานิยม ซึ่งทำให้มีผู้มาใช้บริการในระบบทุติยภูมิ และตติยภูมิ มากขึ้น แทนที่จะเน้นโครงสร้างของปฐมภูมิให้แข็งแรง ซึ่งก็เป็นผลมาจาก การสมประโยชน์ของกลุ่มอำนาจเก่า และพรรคการเมืองประชานิยมนั่นเอง งบการรักษาพยาบาลจึง บานเบิกขึ้นเรื่อยๆ ถมเท่าไหร่ก็ไม่พอ แถมยังรั่วไหลมากมาย
การปฏิรูปที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเรากล้าพูดความจริงว่า
> “ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนจากยุคของคนไม่กี่คน เป็นยุคของระบบที่โปร่งใสและตรวจสอบได้โดยทุกคน”
ในการเลือกตั้งที่จะถึง ในไม่ช้านี้
พรรคการเมืองไหน ขยับนโยบายเรื่องนี้ได้เร็วกว่าเพื่อน จะครองใจ ประชาชนและบุคลากรทางสาธารณสุข ซึ่ง มีพลังทางการเมือง ค่อนข้างสูง ทุกท่าน คงจะทราบดี
เราขอเตือนว่าท่านไม่ต้องคิดหาหนทางขยายขอบเขตของประชานิยม ถ้าท่านคิดได้พรรคอื่นก็คิดได้เช่นเดียวกัน และตอนนี้มันถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ขอบอกว่า มันไม่ค่อยมีอะไรแตกต่างกันอีกแล้ว ทางที่ดีใครขยับตัวเรื่องปฏิรูปแก้ไขให้ครบ ทั้ง 5 อุปสรรค ที่เราชี้ทางสว่างนี้ ท่านจะสร้างจุดแตกต่างและ ก้าวล้ำ พรรคการเมืองที่คิดไม่ทัน
หมายเหตุ พรรคไหน อยากรู้แจ้ง
ข้อมูลทางลึก ติดต่อหลังไมค์ได้ที่ Admin
แอดมิน ประชาคมแพทย์
1 พย.2568
https://www.facebook.com/100064746037387/posts/1236560191845504/?mibextid=rS40aB7S9Ucbxw6v



