กรุงเทพมหานคร, 28 กันยายน 2568 – ในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการกำหนดทิศทางการบริหารประเทศในช่วง 4 เดือนข้างหน้า ก่อนการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคมหรือเมษายน 2569
คำแถลงนโยบายฉบับนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนวิสัยทัศน์ของรัฐบาล แต่ยังเผยให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสที่รออยู่เบื้องหน้า ที่รัฐบาลอนุทิน 1 ได้ประกาศเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการยึดมั่น 3 หลักการสำคัญ ได้แก่ การพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์, การยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการยึดมั่นในหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนรอบด้าน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และภูมิรัฐศาสตร์โลก คำแถลงนโยบายนี้จึงถูกจับตาเป็นพิเศษถึงมาตรการเร่งด่วนที่จะเข้ามาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
นโยบายเด่นที่จะเข้ามาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า 4 ด้าน และประเด็นร้อนทางการเมือง โดยคำแถลงนโยบายได้เน้นย้ำถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า 4 ด้านอย่างเร่งด่วน พร้อมด้วยประเด็นที่น่าสนใจในหลายมิติ
1. ปัญหาเศรษฐกิจ จะลดภาระ เพิ่มสภาพคล่อง แต่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้จริงหรือ?
ในประเด็นนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยจะผลักดัน “โครงการคนละครึ่ง” อย่างต่อเนื่อง พร้อมมาตรการลดค่าเดินทาง ค่าขนส่ง และค่าพลังงาน รวมถึงสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนเพื่อความสะดวกและเข้าถึงง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีโครงการแก้หนี้ประชาชนรายละไม่เกิน 100,000 บาท และเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs สูงสุด 1,000,000 บาท ซึ่งมาตรการเหล่านี้มุ่งหวังที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในระยะสั้น
แม้มาตรการเหล่านี้จะช่วยบรรเทาปัญหาปากท้องได้ในระยะสั้น แต่คำถามสำคัญคือ รัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่เผชิญกับความท้าทายจากการส่งออกที่ชะลอตัว การลงทุนที่ซบเซา และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงได้หรือไม่? ซึ่งข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า GDP ของไทยในปี 2568 จะขยายตัวเพียง 2.3% ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำ การพึ่งพามาตรการกระตุ้นการบริโภคเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะยกระดับเศรษฐกิจให้พ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทยได้ในระยะยาว
2. ปัญหาความมั่นคง กรณีพิพาทไทย-กัมพูชา และการทำประชามติ MOU เกมการเมืองบนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ?
ประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือแนวทางในการจัดการ “กรณีพิพาทไทย-กัมพูชา” โดยรัฐบาลจะใช้ทั้งมาตรการทางการทหารและการทูตควบคู่กันไปเพื่อรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ ที่สำคัญคือการระบุถึงการ “ทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา”
สิ่งที่น่าจับตาก็คือ การนำประเด็น MOU ไทย-กัมพูชา มาทำประชามติในช่วงเวลาที่รัฐบาลมีอายุสั้น อาจถูกมองว่าเป็นเกมการเมืองเพื่อสร้างความชอบธรรมหรือดึงคะแนนเสียงมากกว่าการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งประเด็นนี้มีความละเอียดอ่อนและอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว การทำประชามติจะเป็นบททดสอบสำคัญของรัฐบาลในการสร้างฉันทามติจากประชาชนและจัดการกับความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น โดยต้องระมัดระวังไม่ให้ความขัดแย้งบานปลายและกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติในภาพรวม
3. ปัญหาภัยพิบัติภัยธรรมชาติ จะเร่งรัด ปรับปรุง แก้ไข แต่จะทันการณ์และโปร่งใสแค่ไหน?
ในถ้อยแถลงของนโยบายที่รัฐบาลประกาศออกไประบุว่า รัฐบาลตระหนักถึงความจำเป็นในการเร่งรัดระบบเตือนภัยและป้องกันภัยพิบัติธรรมชาติ พร้อมปรับปรุงมาตรการดูแลช่วยเหลือประชาชนให้รวดเร็ว ทันสถานการณ์ โดยจะมีการแก้กฎระเบียบและหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถดำเนินการช่วยเหลือได้อย่างคล่องตัว ปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน
เราต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับภัยธรรมชาติบ่อยครั้ง การปรับปรุงระบบเตือนภัยและการช่วยเหลือเป็นสิ่งจำเป็น แต่ความท้าทายอยู่ที่การดำเนินการให้ทันการณ์และมีประสิทธิภาพจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งการเน้นย้ำเรื่องการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันในการช่วยเหลือภัยพิบัติ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการทุจริตที่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในสังคมไทย ซึ่งรัฐบาลจะต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการปราบปรามและสร้างความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ
4. ปัญหาภัยสังคม การปราบปรามเด็ดขาด “ไม่หนุนพนัน” แต่จะจัดการกับต้นตอของปัญหาได้หรือไม่?
รัฐบาลประกาศปราบปรามยาเสพติด การพนัน การพนันออนไลน์ สแกมเมอร์ และเครือข่ายฉ้อโกงประชาชนอย่างจริงจังและเด็ดขาด โดยเน้นย้ำว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จะต้องถูกดำเนินคดีอย่างร้ายแรง ที่น่าสนใจคือ รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะ “ไม่สนับสนุนธุรกิจการพนันทุกชนิดให้เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ไม่สนับสนุน Entertainment Complex แบบมีกาสิโน และไม่มีการพนันออนไลน์ที่ถูกกฎหมาย ซึ่งการปราบปรามยาเสพติดและการพนันเป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่ปัญหาเหล่านี้มักมีรากฐานมาจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม การขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาและอาชีพที่ดี
จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) พบว่า ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ของไทยยังคงอยู่ในระดับสูง การปราบปรามอย่างเด็ดขาดเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอหากไม่สามารถจัดการกับต้นตอของปัญหาได้ ซึ่งจุดยืนที่ชัดเจนในการไม่สนับสนุน Entertainment Complex แบบมีกาสิโน อาจส่งผลกระทบต่อโอกาสในการดึงดูดการลงทุนและการท่องเที่ยวในระยะยาว ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางสังคม
ประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ
1. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนการจัดทำประชามติและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยรับฟังเสียงประชาชนและสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และจะมีการทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ในวันที่มีการลงคะแนนเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไปครั้งหน้า
สำหรับประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตทางการเมืองของประเทศ แต่การผูกโยงกับการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจทำให้กระบวนการล่าช้าและถูกมองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมือง การสร้างฉันทามติจากทุกฝ่ายและการรับฟังเสียงประชาชนอย่างแท้จริงจะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นที่ยอมรับ
2. การแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ลดต้นทุนการผลิต (โดยเฉพาะปุ๋ย) และป้องกันการลักลอบนำเข้าผลผลิตจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงส่งเสริมเกษตรอัจฉริยะ
ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรจำนวนมาก มาตรการที่นำเสนอมานั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่ความท้าทายอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้า และการส่งเสริมเกษตรอัจฉริยะที่ต้องอาศัยการลงทุนและการเข้าถึงเทคโนโลยี ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับเกษตรกรรายย่อย
3. สาธารณสุข-การศึกษา การปฏิรูประบบสาธารณสุขให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงและสะดวกที่สุด และปฏิรูปกฎหมายการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและคุณภาพการศึกษายังคงเป็นประเด็นสำคัญ การปฏิรูปกฎหมายและการเข้าถึงเทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องมั่นใจว่าการปฏิรูปเหล่านั้นจะช่วยลดช่องว่างและสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันให้กับประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือมีฐานะยากจน
4. สิ่งแวดล้อม มุ่งสู่ “สังคมคาร์บอนต่ำ” เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในเวทีโลก
การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับกระแสโลกและเป็นโอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่ต้องมีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม รวมถึงการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและประชาชนในการปรับตัว เพื่อไม่ให้เป็นภาระทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม
ความท้าทายและสิ่งที่ต้องจับตาคำแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทิน 1 สะท้อนถึงความพยายามในการตอบสนองต่อปัญหาเร่งด่วนของประเทศในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และการเมือง อย่างไรก็ตาม ด้วยกรอบเวลาการทำงานที่จำกัดเพียง 4 เดือนก่อนการยุบสภา ความท้าทายสำคัญจะอยู่ที่ความสามารถของรัฐบาลในการเปลี่ยนนโยบายเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรมและสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในสังคมไทย
ประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือ การดำเนินการในนโยบายที่ละเอียดอ่อน เช่น การทำประชามติ MOU ไทย-กัมพูชา และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงการปราบปรามการพนันที่อาจมีผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการงบประมาณและการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสำเร็จของรัฐบาลชุดนี้ประชาชนและนักลงทุนต่างเฝ้ารอคอยการพิสูจน์ว่า “อนุทิน 1” จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นและนำพาประเทศก้าวผ่านความท้าทายต่างๆ ได้ตามที่ได้แถลงไว้หรือไม่ ในช่วงเวลา 4 เดือนอันสั้นนี้ ทุกสายตาจะจับจ้องไปที่การลงมือทำ