ประเทศไทยเคยเป็นเมืองที่เข้าใจน้ำ เราอยู่กับมันได้อย่างคึกคักและงดงามราวบทเห่ของดินฟ้า
เราปลูกข้าวตามน้ำ เราไปมาหาสู่กันโดยล่องเรือตามน้ำ และเราสร้างบ้านเผื่อให้น้ำเข้ามาทักทายได้ทุกปี
ครูไพบูลย์ บุตรขัน เคยเขียนไว้ในเพลง “น้ำลงเดือนยี่” ด้วยภาษาของคนที่มองท้องฟ้าเป็นปฏิทิน และฟังเสียงน้ำเป็นข่าวพยากรณ์
“ย่างเดือนสิบเอ็ด น้ำเริ่มไหลนอง
พอเดือนสิบสอง น้ำในคลองก็เริ่มจะทรง
ครั้นถึงเดือนยี่ น้ำก็รี่ไหลลงไหลลง
ตกเดือนสาม แล้วน้ำก็คง แห้งขอดตลอดลำคลอง”
ผมฟังเพลงนี้ตั้งแต่เด็ก พอโตจนเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อน ๆ เขาฟังเพลงร็อคกัน ผมยังหยิบเพลงของรุ่งเพชร แหลมสิงห์ มาเปิดอยู่เรื่อย ๆ เปิดจนได้ยินเนื้อเพลงของครูไพบูลย์อย่างลึกซึ้ง
สี่บรรทัดแรกของเพลงนี้ มันคือแผนที่ภูมิอากาศของประเทศ ก่อนมีกรมอุตุนิยม ก่อนมีเรดาร์ตรวจพายุ เอาจริง ๆ นะ นี่มันคือ บทเพลงสารคดี ที่ซ่อนอยู่ในใจคนรุ่นเก่าอย่างแนบเนียนที่สุด
คนไทยรู้ดีว่าเรามีนัดกับ“น้องน้ำ”มาหลายร้อยปีแล้ว แต่วันนี้เรากลับเป็นคนรุ่นใหม่ที่เห่อ “เมืองหิมะ“ของฝรั่งจนลืม “เมืองน้ำ” ของตัวเอง เราลืมไปว่าฝนบ้านเรามันระดับฝนไล่ช้าง ไม่ใช่ตกเหยาะแหยะแบบลอนดอน ลืมไปว่ากรุงเทพ ฯ มีอีกชื่อหนึ่งว่า “บางกอก”
บาง คือ ลำน้ำ โกก คือเกาะ ชื่อเมืองหลวงเราบอกชัดว่าที่นี่คือ “เกาะกลางน้ำ”
ตอนผมเริ่มเรียนสถาปัตย์ ครูของผมเริ่มชี้ให้เห็นแล้วว่า สถาปัตยกรรมระดับบ้านอยู่อาศัยตามโครงการบ้านจัดสรร ที่เริ่มดึงดูดผู้คนให้ชื่นชมบ้านแบบสเปน หมู่บ้านแบบนอร์ดิก ทั้ง ๆที่มันตั้งบนคันนาเก่า
ครูหลายคนของผม ท่านชี้ให้เห็นด้วยความเป็นห่วง และพร่ำสอนลูกศิษย์ตัวเองให้ลึกซึ้งกับสถาปัตยกรรมเขตเมืองร้อนชื้น
ผ่านมาสี่สิบปี ภาพรวมของผังเมืองไทย เรากลับเอาแนวคลองไปทำถนน แล้วก็สร้างกำแพงกั้นน้ำ แล้วโทษฝนที่มันยังตกเหมือนเดิม เหมือนสมัยทวดเทียดของเขา
เมืองไทยเคยสร้างบ้านใต้ถุนสูง วันนี้เราเรียกมันว่า “สไตล์โบราณ” ทั้งที่มันคือภูมิปัญญาระดับภูมิศาสตร์ ทุกวันนี้เราสร้างคอนโดสูงกว่าบ้านเสาสูงเมื่อก่อนอีก แต่ดันไม่คิดเผื่อเรื่องระบายน้ำ
เพราะเรากำลังลืมวิธีอยู่กับน้ำ แล้วเปลี่ยนมาสู้กับมันแทนด้วยเครื่องสูบน้ำ และแน่นอน เราแพ้ทุกปี
ถ้าใครได้ยินเพลง “น้ำลงเดือนยี่” อีกครั้ง ลองฟังให้ช้ากว่าที่เคย
เพราะมันไม่ใช่แค่เพลงรักของหนุ่มสาวบ้านทุ่ง แต่มันคือเสียงเตือนของดินแดนแห่งน้ำที่กำลังจะถูกลืม
เพลงลูกทุ่งนั้นไม่ใช่แค่กลอนเก่า แต่มันคือจังหวะหัวใจของเมืองนี้ เมืองที่เคยไหลไปพร้อมกับน้ำ แต่วันนี้เรากลับยืนขวางมันอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ในวันที่นักวิทยาศาสตร์แทบทุกสถาบันพยากรณ์ไว้แล้วว่าในอนาคตอันใกล้นี้โลกจะจมน้ำ และนี่คือภารกิจของทุกรัฐบาลนับจากนี้ นั่นคือระหว่างการสร้างเมืองให้ทันโลก กับ การสร้างเมืองให้ทันน้ำ เราต้องถ่วงตาชั่งให้ดี
และทุกรัฐบาลต้องอย่าลืมอีกประโยคหนึ่งในเพลงนี้ “พอถึงเดือนสี่เดือนห้า เจ้าพระยาก็แห้งลง”
Cr. ประภาส ชลศรานนท์



