พิธีกรหรือมัคคุเทศก์กิติมศักดิ์ (คุณสมัคร วงษ์เวช) บรรยายให้ความรู้ขณะท่องเที่ยวทางเรือที่เหนือ อาทิเช่น ชื่อของแม่น้ำ “ปิง” ซึ่งหมายถึงเชี่ยวกราก รุนแรง เมืองเชียงใหม่ หรือ “นพบุรีศรีนครปิง” แต่ต่อมา เรียกเพี้ยนกันเป็น นพบุรีศรีนครพิงค์
สาเหตุที่บ้านของคนเมืองเหนือนิยมสร้าง “กาแล” ไว้บนหลังคา เพราะกาแลหมายถึง ความมั่งมีศรีสุข นั่นเอง
ที่สำคัญคือ ความรู้ ที่มาที่ไปของคำศัพท์ไทยโบราณ ที่เราใช้สืบเนื่องกันมา เพี้ยนบ้าง ไม่รู้ความหมายบ้าง อาจารย์ติ๊งต๊อง เป็นต้องสอดแทรกให้ทราบ
นับตั้งแต่เรือเริ่มออกจากท่า ซึ่งจะต้องใช้เท้าถีบหัวเรือส่งออกมา เรือถึงจะแล่นต่อไปได้ กลายเป็นที่มาของคำว่า “ถีบหัวเรือส่ง” หรือ “ถีบหัวส่ง”
เมื่อเรือแล่นออกจากท่าไปแล้ว ก็จะมีการนำเอาไม้มาปักจองไว้เป็นสถานที่ทำแพจอดเรือ อันเป็นที่มาของคำว่า “กันท่า”
เมื่อพ่อบ้านออกเรือไปแล้ว ก็เป็นโอกาสของหนุ่ม ๆ ที่จะเข้าไปเกี้ยวสาว หากลูกสาวบ้านไหนเป็นใจรู้กันกับไอ้หนุ่มก็จะแอบไปเอาไม้ที่ปักจองไว้ออก เป็นที่มาของคำว่า “ให้ท่า”
จากนั้นก็จะเอาสะพานไม้มาวางพาดให้ไอ้หนุ่มเดินเข้ามาหา จึงเป็นที่มาของคำว่า “ทอดสะพาน”
การเดินทางสมัยก่อนจะใช้ทางน้ำ เป็นหลัก ซึ่งเรือโดยสารจะออกจากท่า 5 เดือนต่อครั้ง หากคนไหนมาไม่ทันเรือ ก็จะต้องรอไปอีก 5 เดือนกว่าจะได้ไปอีกรอบ เป็นที่มาของคำว่า “พลาดท่า” นั่นเอง
และหากเจ้าของเรือคนไหนปักไม้กันท่าไว้ไม่แน่น ไม้หลักไหลไปตามน้ำ ก็จะถูกเรือลำอื่นมาจอดแทน เป็นที่มาของคำว่า “เสียท่า”
และเมื่อถูกเรือลำอื่นมาเสียบแทนแล้ว แถมยังตามไปเอาไม้หลักมาคืนไม่ได้ ก็เท่ากับว่า “หมดท่า”
เมื่อจะเข้าเทียบท่า หากคนถ่อ คนถือหางเสือ ไม่สามัคคีกัน จอดเรือไม่ได้สักที ทำให้เรือ “ไม่เข้าท่า”
แต่พอจอดได้แล้วล่ะก็ “เออ เข้าท่า”
หรือระหว่างล่องเรือ มีสายลมพัดเย็นสบาย คนถ่อเรือข้างหน้า หันไปคุยกับคนคัดท้าย แต่ปรากฏว่าคนคัดท้ายทำเฉย ก็ต้องมีการต่อว่าต่อขานกัน “เฮ้ย! ไอ้นี่ทำหูทวนลม”
หรือแม้กระทั่งการจอดแวะพักอิริยาบถที่ท่าเรือ บ้านหางแมงป่อง พิธีกรพาชมเครื่องไม้เครื่องมือในการจับสัตว์น้ำของชาวเวียงเหนือ ก็ยังมีที่มาของคำที่เราใช้กันในปัจจุบัน เช่น “สุ่มสี่สุ่มห้า” .
มาจากอากัปกิริยาในการใช้ “สุ่ม” จับปลา ซึ่งกว่าจะได้ปลาแต่ละตัวนั้น คนจับจะต้องครอบสุ่มลงไปไม่ต่ำกว่า 4-5 ครั้ง หรือการเดาสุ่มนั่นเอง เมื่อครอบสุ่มลงไปแล้วเอามือลงไปควาน คว้าจับปลา หากจับเจอแต่น้ำขี้โคลน หรือน้ำเปล่า ๆ ก็คือ “คว้าน้ำเหลว”
อุปกรณ์จับปลาอีกอย่าง “ลอบ” ที่ชาวบ้านสมัยโบราณนิยมใช้ โดยจะเอาไปวางไว้ตรงทางน้ำไหล หรือตามกอหญ้าดักปลา มีลักษณะเป็นทรงกระบอก ก้นรอบเป็นรูปรี ๆ มีความยาว 1-2 เมตร เหลาไม้ไผ่เป็นซี่กลม ๆ ประมาณ 20 ซี่ มัดด้วยหวาย เถาวัลย์ หรือลวด ไม้ไผ่แต่ละซี่ห่างกันเกือบ 3 เซนติเมตร หากจะดักปลาตัวเล็กก็เรียงซี่ไม้ไผ่ให้ติดกัน ปากลอบดักปลาทำงา 2 ชั้น เมื่อปลาว่ายเข้าไปก็จะว่ายออกมาไม่ได้เพราะติดงากั้นไว้ เมื่อสอดมือเข้าไปหยิบปลา หากไม่ระวังก็จะถูกซี่ไม้ที่เรียกว่างานั้นขูดเอาพอเจ็บ หรือเรียกว่า “ลอบกัด”
หากดักลอบทิ้งไว้ทั้งคืนแล้วเจอมือดีมาแอบขโมยปลาในลอบไป เรียกว่าถูก “ลักลอบ”
ดังนั้น ถ้าอยากจะได้ปลา คนดักลอบต้องหมั่นมาคอยดูลอบของตัวเอง อันเป็นที่มาของสุภาษิตคำพังเพย “ดักลอบต้องหมั่นกู้ เจ้าชู้ต้องหมั่นเกี้ยว”
Ref : คุณสมัคร วงษ์เวช หรือ “อาจารย์ติ๊งต๊อง”