ถูกโจรสแกมเมอร์ยึดจนไร้ทางแก้
สถานการณ์อาชญากรรมข้ามชาติและการหลอกลวงประเภทสแกมเมอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงอยู่ในขั้น วิกฤตที่กำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว
ข่าวจากหลายสำนักยืนยันว่าการกวาดล้างในฐานที่มั่นเดิมอย่างกัมพูชาและเมียนมาได้ผลักดันกลุ่มทุนจีนเทาให้โยกย้ายฐานปฏิบัติการมาสู่ อาณาจักรคิงส์โรมัน ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ สปป.ลาว ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยพื้นที่นี้ได้ถูกยกระดับเป็น “ศูนย์บัญชาการ” แห่งใหม่ที่มีความซับซ้อนและมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับอาชญากรรมอย่างเป็นระบบ
อาคารสูงกว่า 30 ชั้น การลงทุนที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อสร้างอาณาจักรนี้ชี้ให้เห็นว่าผลประโยชน์จากธุรกิจสีเทามีมูลค่ามหาศาล และเป็นแรงขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งกว่าการปราบปรามในปัจจุบันอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถวิเคราะห์ได้อย่างมีน้ำหนักว่า สถานการณ์จะยังคงเดินหน้าต่อไป โดยคิงส์โรมันจะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันและแหล่งฟอกเงินชั้นดี การปราบปรามในระดับนานาชาติจะยังคงเป็นไปอย่างยากลำบาก และโอกาสที่อาชญากรรมเหล่านี้จะหยุดชะงักลงโดยไม่มีมาตรการที่เด็ดขาดและต่อเนื่องนั้นจึงมีน้อยมาก
ความพยายามของประเทศไทยในการต่อสู้กับภัยคุกคามนี้กำลังเผชิญกับจุดอ่อนเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน คือการมุ่งเน้นไปที่การปราบปรามปลายทาง (บัญชีม้า) และการป้องกันตามแนวชายแดนด้านอื่น ๆ โดย ละเลยการตอบโต้ภัยคุกคามที่อยู่ประชิดตัวที่สุด ณ แม่น้ำโขงฝั่งตรงข้าม
รัฐบาลจึงจำเป็นต้องปรับกลไกการปราบปรามให้เป็นเชิงรุกและสร้าง “การปรากฏตัวของอำนาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่เสี่ยง กล่าวคือการจัดตั้ง “หน่วยพิเศษปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ” ประจำการและปักหลักที่ อ.เชียงแสน อย่างถาวรและเห็นได้ชัดเจน
หน่วยงานนี้ต้องแสดงศักยภาพการสกัดกั้นอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง รวมถึงการเปิดเผยผลการปฏิบัติการให้สาธารณะรับทราบเป็นระยะ การดำเนินการเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการป้องปรามไม่ให้เกิดการลักลอบข้ามแดนและใช้ไทยเป็นฐานพักพิง แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองที่ชัดเจนไปยังรัฐบาลลาวและกลุ่มทุนจีนเทาว่า ไทยไม่ยอมรับการเติบโตของอาชญากรรมในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้การปราบปรามสามารถ บรรลุผลในระดับการจำกัดความเสียหาย ได้
หากยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยยังคงจำกัดอยู่แค่การ “ผงาด” ต่อสู้กับอาชญากรรมตามแนวชายแดนอื่น ๆ หรือภูมิภาคที่เคยเป็นแหล่งสุมหัวในอดีต (ที่ซึ่งทุนอาชญากรได้อพยพออกไปแล้ว) โดยไม่ยอมรับว่า “หลังบ้าน” ตรงคิงส์โรมันได้ถูกใช้เป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่เติบโตไม่หยุดหย่อน
ผลที่ตามมาก็คือการปราบปรามจะกลายเป็น “ชัยชนะอันว่างเปล่า” บนหน้ากระดาษ ในขณะที่ภัยคุกคามที่แท้จริงได้ ทะลุทะลวงอยู่ด้านหลังจนเลยจุดที่จะแก้ไขได้แล้ว หากการเมืองไทยยังคงมองข้ามอาคารสูงระฟ้าแห่งการหลอกลวงที่ส่องแสงระยับอยู่ฝั่งตรงข้าม อำนาจอธิปไตยทางดิจิทัลและเศรษฐกิจของประเทศจะถูกกัดเซาะอย่างเงียบ ๆ และต่อเนื่อง
เมื่อวันนั้นมาถึง รัฐบาลอาจพบว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เงินในบัญชีของประชาชนที่หมดไป แต่คือ “เกียรติภูมิ” ของประเทศที่ถูกอาชญากรข้ามชาติใช้เป็น “ทางผ่านด่วน” ไปสู่หายนะอย่างถาวร เหมือนกับการป้องกันป้อมปราการอย่างแข็งขันจนเหลือแต่ซากปรักหักพัง เพราะไม่เคยคิดเลยว่าศัตรูจะ “เดินอ้อม” เข้ามาทางประตูหลังที่ไม่ได้ล็อกนั่นเอง



