วิกฤติขยะพลาสติกครั้งใหญ่ ไทยรีไซเคิลไม่ถึงเป้า กฎหมายไร้ผลบังคับ ทำอย่างไรให้เดินตามกติกาไทยและมาตรฐานโลก
ประเทศไทยสร้างขยะพลาสติกกว่า 2 ล้านตัน/ปี หรือราว 12–14% ของขยะมูลฝอยทั้งหมด ~27 ล้านตัน แต่รีไซเคิลกลับได้จริงเพียง ราว 21–22% ต่ำกว่าเป้าหมาย 25% ที่วางไว้ต่อเนื่องหลายปี ปัญหาหลักมาจาก “กฎหมายไม่กัด” และ EPR (Extended Producer Responsibility) ยังไม่ออกใช้จริง ส่งผลให้ขยะตกค้างแตกตัวเป็น ไมโครพลาสติก ปนเปื้อนห่วงโซ่อาหาร—ถึงขั้นตรวจพบในสัตว์น้ำไทยและรายงานความเสี่ยงสุขภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ภาพรวมกรอบกติกา “ของไทย” ที่มีอยู่—และช่องโหว่
1) Roadmap การจัดการขยะพลาสติก 2018–2030
คณะรัฐมนตรีอนุมัติในปี 2019 กำหนดเลิกใช้บางรายการ (เช่น โอ๊กโซ–ดีเกรดเอเบิล, ซีลฝากระป๋อง, ถุงบาง) และตั้งเป้าลดการรั่วไหลสู่ทะเล 50% ภายในปี 2027 พร้อมแนวทางรีไซเคิล “พลาสติกเป้าหมาย” ให้ครบวงจร แต่หลายมาตรการยังพึ่ง “ความสมัครใจ” และขาดบทลงโทษทำให้ผลไม่ถึงเป้า
2) ร่างกฎหมายบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน (EPR) ของไทย
กระทรวงทรัพยากรฯ เผยร่างกฎหมายเมื่อ มี.ค. 2024 วางหลัก EPR ให้ผู้ผลิตรับผิดชอบตลอดวงจรชีวิตบรรจุภัณฑ์ และเปิดทางเครื่องมือเศรษฐศาสตร์ (เช่น advance recycling fee, deposit–return ฯลฯ) แต่สถานะยัง “ร่าง” และคาดใช้จริงได้ราว ปี 2027 หากคืบหน้า—ช่วงสุญญากาศนี้ทำให้การจัดการยังพึ่งท้องถิ่นและภาคไม่เป็นทางการมากเกินไป
3) ผลการดำเนินงานปัจจุบัน
การรีไซเคิลพลาสติกหลักในไทยเคยอยู่ราว 17.6% (2018) และแม้หลังโควิดปริมาณบรรจุภัณฑ์เพิ่ม การแยก-เก็บกลับยังสะดุด ทำให้ อัตรารีไซเคิลระดับประเทศวนอยู่แถว 20% ต้น ๆ ต่ำกว่าเป้าหมายและศักยภาพวัสดุ
กติกา “ระหว่างประเทศ–ภูมิภาค” ที่ไทยต้องก้าวให้ทัน
(ก) อนุสัญญาบาเซิล: Plastic Waste Amendments (มีผล 1 ม.ค. 2021)
ควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียพลาสติก เข้มงวดเรื่องการคัดแยก/ความสะอาด และต้องมีการยินยอมล่วงหน้า (PIC) ลดการส่งออกของเสียสกปรกไปประเทศกำลังพัฒนา—ไทยในฐานะภาคีต้องจัดระบบให้สอดคล้องทั้งการนำเข้า-ส่งออกและการรับรองการจัดการอย่างถูกต้อง
(ข) แผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคอาเซียน 2021–2025
อาเซียนรับรอง “RAP on Marine Debris” วาง 14 มาตรการครอบคลุม “ลดที่ต้นทาง–เพิ่มประสิทธิภาพเก็บรวบรวม–สร้างมูลค่ากลับ” ไทยมีบทบาทสำคัญในการผลักดัน และควรทำให้สอดคล้องกับนโยบายในประเทศ
(ค) สนธิสัญญาพลาสติกโลก (Global Plastics Treaty)
การเจรจา INC-5.2 ที่เจนีวา (15 ส.ค. 2025) ยุติ “ไร้ฉันทามติ” โดยติดค้างที่ประเด็น “เพดานการผลิตพลาสติกใหม่”—แนวโน้มคืออาจต้องยกระดับพันธกรณีผ่านกรอบอื่น/แนวร่วมประเทศสมัครใจ ขณะที่แรงกดดันสาธารณะต่อความเสี่ยงสุขภาพจากไมโครพลาสติกสูงขึ้น ไทยควรเตรียมกฎหมายภายในให้เข้ม พึ่ง “ขับเคลื่อนในประเทศ” แทนรอกรอบโลก
ความเสี่ยงสุขภาพ–สิ่งแวดล้อม: ไมโครพลาสติกบนจานอาหารไทย
งานศึกษาสัตว์น้ำไทยและทบทวนวรรณกรรมล่าสุดชี้การปนเปื้อนไมโครพลาสติกในระบบนิเวศไทยอย่างกว้างขวาง (รวมถึงกรณี ปลาทู/ปลาแมคเคอเรล ที่ถูกนำเสนอในสื่อไทย) เสี่ยงต่อสุขภาพมนุษย์ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และเด็ก—ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นของมาตรการ “ลด–แยก–จัดการ” ที่ได้ผลจริง
เงื่อนไขการจัดการขยะพลาสติก “ให้ได้ผล” ตามกติกาไทยและมาตรฐานโลก
1) ทำกฎหมาย EPR ให้ใช้ได้จริง (ไม่ใช่แค่แผน)
- ประกาศใช้ พ.ร.บ.บรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน ตามร่างปี 2024 โดยกำหนด
- เป้าหมายผูกพัน รายวัตถุ (PET, PE, PP, PS,ฟิล์มชั้นเดียว ฯลฯ)
- ค่าธรรมเนียมตามความรีไซเคิลได้ (eco-modulation): ออกแบบง่าย–จ่ายน้อย, ยากรีไซเคิล–จ่ายมาก
- ระบบมัดจำ–คืนเงิน (DRS) สำหรับขวด/กระป๋อง
- สิทธิ audit/ข้อมูล: ผู้ผลิตต้องรายงาน “วางตลาด–เก็บคืน–รีไซเคิล” รายปี
- กำหนด บทลงโทษชัด และ หน่วยงานเจ้าภาพ พร้อมกองทุนกลาง (PRO) เพื่อจ่ายค่าดำเนินการเก็บ–คัด–รีไซเคิล
2) ทำให้ Roadmap “กัด” มากขึ้น
- ยกระดับข้อห้าม โอ๊กโซ–ดีเกรดเอเบิล, ถุงบางต่ำกว่าเกณฑ์, ซีลฝา ฯลฯ จาก “นโยบาย” เป็น ข้อบังคับ พร้อมตรวจและปรับจริง
- เปลี่ยนมาตรการสมัครใจเป็น มาตรฐานภาคบังคับ (เช่น การออกแบบเพื่อรีไซเคิล, ฉลากแยกประเภท)
3) จัดการตามบาเซิล: โปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับ
- ทุกการนำเข้า–ส่งออกของเสียพลาสติกต้อง PIC + เอกสารการจัดการปลายทาง และ มาตรฐานความสะอาด/การคัดแยก ตามบัญชีภาคผนวก
- จัดตั้ง ทะเบียนผู้รีไซเคิลและผู้ค้าของเสีย เชื่อมด่านศุลกากร–กรมโรงงาน–PCD เพื่อปิดช่องว่างของเสียสกปรก
4) เครื่องมือเศรษฐศาสตร์ “เขย่าระบบ” ให้คุ้มทุนรีไซเคิล
- ค่าฝังกลบ/เผา ตามคาร์บอนและมลพิษ (landfill/incineration tax)
- จัดซื้อสีเขียวภาครัฐ (GPP) กำหนด สัดส่วนวัสดุรีไซเคิล ในบรรจุภัณฑ์และงานจัดซื้อ
- Pay-as-you-throw (PAYT) ระดับท้องถิ่น เพื่อจูงใจแยกขยะหน้าบ้าน
5) บริหาร “ปลายทาง–ต้นทาง” พร้อมกัน
- ตั้ง มาตรฐานแยกหน้าบ้าน 3–4 ถัง (อินทรีย์/รีไซเคิล/ทั่วไป/อันตรายขนาดเล็ก) ผูกกับค่าธรรมเนียม
- โครงสร้างพื้นฐานคัดแยก–รีไซเคิล ระดับจังหวัด/กลุ่มเทศบาล และ ศูนย์รวบรวมคุณภาพสูง (MRF) เชื่อมภาคไม่เป็นทางการอย่างเป็นธรรม
- ฐานข้อมูลแห่งชาติ: ปริมาณวางตลาด–เก็บกลับ–รีไซเคิลรายเรซิน/อำเภอ แบบเปิดเผย
6) เป้าและตัวชี้วัดใหม่ (สอดคล้องอาเซียน–โลก)
- รีไซเคิลจริง (net recycling) ≥ 25% ภายในปี 2027 และ 30%+ ภายในปี 2030
- ลดการรั่วไหลสู่ทะเล ≥ 50% ภายในปี 2027 ตาม Roadmap และ RAP อาเซียน
- ดีไซน์เพื่อรีไซเคิล: ลดมัลติเลเยอร์/เม็ดสี, เพิ่มฉลากมาตรฐาน
คำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับ 3 กลุ่มหลัก
ภาครัฐ (ชาติ–ท้องถิ่น)
- เร่งผ่าน EPR และออก กฎย่อย (อัตราค่าธรรมเนียม, รายงานข้อมูล, มาตรฐาน DRS)
- บังคับใช้ Roadmap ด้วย กฎหมายลูก + งบลงทุน MRF/คัดแยก และโครงสร้างพื้นฐาน
- ผนวก Basel PIC กับศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ และเผยแพร่รายชื่อผู้ฝ่าฝืนรายไตรมาส
ผู้ผลิต–ค้าปลีก
- ตั้ง PRO กลางภาคเอกชน เตรียมเก็บค่าธรรมเนียม–จัดสรรงบรีไซเคิล
- ปรับ ดีไซน์บรรจุภัณฑ์ให้รีไซเคิลได้จริง (mono-material, ฉลากถอดง่าย) และตั้ง เป้าเนื้อรีไซเคิล (PCR content)
- ทดลอง/ขยาย DRS สำหรับขวด PET–อะลูมิเนียม ก่อนกฎหมายบังคับ
ประชาชน–ชุมชนเมืองท่องเที่ยว
- แยก “สะอาด–แห้ง” ให้ MRF/ซาเล้ง เก็บได้คุ้มทุน
- ลดการใช้ มัลติเลเยอร์/ฟิล์มผสม เลือกบรรจุภัณฑ์ที่ติดฉลากรีไซเคิลชัด
- สนับสนุนร้าน/เทศบาลที่มี ระบบคืนมัดจำ และแจ้งเบาะแสการทิ้งไม่ถูกต้อง
บทสรุปเชิงนโยบาย
ไทย “รู้ทางออก” มานาน—แต่ ขาดแรงบังคับ และ “เอกภาพข้อมูล–กติกา–แรงจูงใจ” ทำให้รีไซเคิลจริงติดอยู่แถว 20% ต้น ๆ ทางรอดคือ ทำ EPR ให้เกิด, ยกระดับ Roadmap เป็น ข้อบังคับพร้อมบทลงโทษ, จัดเครื่องมือเศรษฐศาสตร์ให้ รีไซเคิลคุ้มกว่าเผา/ฝัง, และเชื่อม มาตรฐานอาเซียน–บาเซิล อย่างเข้มงวด ขณะรอสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่ยังชะงัก—ไทยต้อง “ลุกขึ้นทำเอง” เพื่อหยุดวงจรไมโครพลาสติกบนจานอาหารของเรา