วันอาทิตย์, ตุลาคม 19, 2025
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกเมืองไทยวันนี้เครื่องบินขับไล่ Gripen โมเดล A, รัฐบาลสวีเดนมอบให้พิพิธภัณฑ์เป็นที่ระลึก 100 ปีกองทัพอากาศ

เครื่องบินขับไล่ Gripen โมเดล A, รัฐบาลสวีเดนมอบให้พิพิธภัณฑ์เป็นที่ระลึก 100 ปีกองทัพอากาศ

เผยแพร่

spot_img

แม้ก่อนควันปืนจากสงครามโลกครั้งที่สองจะจางหาย สงครามที่คร่าชีวิตคนอย่างโหดเหี้ยมหลายล้านคนก็กระตุกต่อมมโนธรรมของผู้นำประเทศทั่วโลกว่า มนุษยชาติควรหากลไกจัดการเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐชาติ เพื่อไม่ให้ลุกลามเป็นการทำลายล้างในระดับนี้อีก

ความเห็นพ้องต้องกันครั้งนี้ก่อเกิดเป็นอนุสัญญาเจนีวา 1949 รากฐานสำคัญของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งอย่างหลังระบุในมาตรา 2(4) ว่า “ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐสมาชิกทั้งปวงจักต้องละเว้นการคุกคาม หรือการใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งอาณาเขต หรือเอกราชทางการเมืองของรัฐใดๆ หรือการกระทำในลักษณะการอื่นใดที่ไม่สอดคล้องกับความมุ่งหมายของสหประชาชาติ” ยกเว้นว่าเป็นการใช้กำลังเพื่อป้องกันตัวเอง ตามหลักจารีตประเพณีหรือมาตรการรักษาสันติภาพร่วมกัน อันเป็นบทบาทของ “คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ” (United Nations Security Council: UNSC) 

บทบาทและการทำงานของ UNSC อาจเป็นเรื่องไกลตัวคนไทย จนเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เมื่อกัมพูชาส่งจดหมายด่วนขอ UNSC นัดประชุมด่วน กล่าวหาว่าไทย “โจมตีกัมพูชาก่อนโดยปราศจากการยั่วยุและมีการวางแผนล่วงหน้า” ส่วนไทยก็ตอบโต้ว่า กองทัพกัมพูชาต่างหากที่เปิดฉากเริ่มใช้กำลังก่อน ซึ่งนอกจากจะละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติแล้วยังละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอีกด้วย เพราะเล็งเป้าพลเรือนรวมถึงโรงพยาบาล ส่งผลให้ผู้บริสุทธิ์ล้มตาย อีกทั้งยังละเมิดอนุสัญญาออตตาวาด้วยการวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทย

ผลการประชุม UNSC ประเด็นนี้ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ไม่มีมติอย่างเป็นทางการ แต่สมาชิก UNSC เห็นพ้องหลักการว่า ให้คู่พิพาททั้งสองฝ่ายยับยั้งชั่งใจ หยุดยิง ใช้กลไกสันติวิธี, สนับสนุนบทบาทของอาเซียนในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นที่จะคุกคามสันติภาพของโลก

ข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชารอบนี้ปะทุขึ้นเป็นความขัดแย้งติดอาวุธ ส่งผลให้ทหารและพลเรือนบาดเจ็บล้มตาย กองกำลังกัมพูชายิงจรวดเข้ามาถล่มปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล และอาคารบ้านเรือนที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร ฝั่งไทยก็ตอบโต้ด้วยการส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 และ Gripen เข้าไปทิ้งระเบิด หรือที่ชาวเน็ตเรียกกันติดปากว่า “ทิ้งไข่” 

วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เป็นครั้งแรกที่คนไทยจำนวนมากได้เห็นแสนยานุภาพของ Saab JAS 39 Gripen เครื่องบินรบล้ำยุคจากสวีเดน ซึ่งกองทัพอากาศไทยมีประจำการ 12 ลำ อยู่ที่ฝูง 701 กองบิน 7 จังหวัดสุราษฎร์ธานี 

ชาวโลกก็ฮือฮาตามไปด้วยเนื่องจากปฏิบัติการนี้เป็นครั้งแรกที่ Gripen ถูกใช้ในการรบเป็นครั้งแรกของโลก

ต่อมาเมื่อวันที่ 5 เดือนสิงหาคม 2568 คณะรัฐมนตรีอนุมัติการจัดซื้อ Gripen รุ่นล่าสุดคือ E/F อีก 4 ลำ วงเงิน 1.95 หมื่นล้านบาท เพื่อทดแทน F-16 ซึ่งบรรจุประจำการมานานกว่า 37 ปี

Gripen รุ่น E/F พัฒนาต่อยอดมาจากรุ่น C/D ที่เหินฟ้าไป “ทิ้งไข่” ในกัมพูชา มาพร้อมกับระบบเรดาห์และเซนเซอร์ที่ทันสมัย บินได้ไกลกว่า 1,500 กิโลเมตร ด้วยความเร็วกว่า 2,450 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถเชื่อมต่อข้อมูลแบบเรียลไทม์ รองรับขีปนาวุธยิงไกล หน้าจอบินกว้าง นอกจากนี้ยังมีต้นทุนในการบินต่ำ โดยมีค่าใช้จ่ายในการบินเพียง 160,000 บาทต่อชั่วโมง บำรุงรักษาง่าย ใช้รันเวย์ในการขึ้นบินเพียง 400 เมตร และร่อนลง 600 เมตร 

อย่างไรก็ดี สำหรับประเทศไม่ใช่มหาอำนาจอย่างไทยที่ต้องหาทางคลี่คลายความขัดแย้งชายแดนด้วยสันติวิธี เพราะไม่มีทางย้ายหนีประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะมีผู้นำเผด็จการบ้าอำนาจเพียงใด โดยเฉพาะในเมื่อเพื่อนบ้านที่พิพาทกันอย่างกัมพูชานั้นไม่มีเครื่องบินรบสักเครื่องเดียว – สมรรถนะในการโจมตีของ Gripen ไม่สำคัญเท่ากับสมรรถนะที่จะทำตาม “กฎการปะทะ” หรือ Rules of Engagement (ROE) 

กฎการปะทะหมายถึงคำสั่งหรือแนวทางกำกับวิธีที่กำลังทหารสามารถใช้กำลัง หรือดำเนินการที่อาจถูกมองว่าเป็นการยั่วยุได้ กฎการปะทะขาดไม่ได้ในการกำหนดขอบเขตและเงื่อนไขที่จะใช้กำลังได้อย่างชอบธรรมและสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ 

พูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ Gripen ต้องสามารถปฏิบัติภารกิจเฉพาะเท่าที่จำเป็นและได้ส่วนกับภัยคุกคาม โจมตีเป้าหมายทางทหารอย่างแม่นยำ เพื่อสร้างความชอบธรรมอย่างชัดเจนในสายตาชาวโลกว่า ไทยเพียงแต่ “ป้องกันตนเอง” ตามข้อยกเว้นการใช้กำลังในกฎบัตรสหประชาชาติ

ซึ่งก็โชคดีที่ความล้ำยุคของ Gripen ทำให้ทำตามกฎการปะทะได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่เรดาร์ ES-05 Raven AESA ที่ให้ความสามารถในการตรวจจับและติดตามเป้าหมายได้แม่นยำ รองรับการระบุประเภทอากาศยาน, ระบบ IFF (Identification Friend or Foe) ช่วยแยกแยะเพื่อนกับศัตรูได้อย่างชัดเจน และเซ็นเซอร์อินฟราเรด IRST สำหรับการตรวจจับแบบ passive ลดความเสี่ยงในการถูกตรวจพบ

ในด้านความสามารถในการควบคุมอาวุธ Gripen มีระบบควบคุมไฟที่ซับซ้อน ช่วยให้นักบินสามารถเลือกใช้อาวุธที่เหมาะสมตามกฎการปะทะ และสามารถรองรับอาวุธหลากหลายประเภท ตั้งแต่จรวดอากาศสู่อากาศ กระสุนปืนใหญ่ ไปจนถึงระเบิดที่มีความแม่นยำสูง 

ความคล่องตัวสูงของ Gripen ทำให้สามารถเข้า-ออกจากพื้นที่ปฏิบัติการได้รวดเร็ว ระบบนำร่องที่ทันสมัยช่วยให้ปฏิบัติตามเส้นทางและเขตห้ามบินได้อย่างแม่นยำ รวมถึงยังมีความสามารถในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเครื่องบินและระบบป้องกันภัยอื่นๆ

Gripen ทุกลำมาพร้อมกับ EWS39 ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งมาจากโรงงาน ระบบนี้ช่วยตรวจจับ วิเคราะห์ และตอบสนองต่อภัยคุกคามทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การแจมมิ่งรบกวนสัญญาณ สามารถเพิ่มเติมอุปกรณ์ใหม่ อัพเดทซอฟต์แวร์ ดาวน์โหลดข้อมูลมาเพื่อวิเคราะห์และอัพเดทแฟ้มภัยคุกคาม (threat library) อัพโหลดกลับเข้าไปใน Gripen ได้ ทำให้เครื่องบินขับไล่นี้ “ฉลาด” ขึ้นเรื่อยๆ รู้จักอุปกรณ์ก่อกวนของศัตรูและรับมือกับมันได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สมรรถนะเหล่านี้ทำให้ Gripen สามารถปฏิบัติตามกฎการปะทะที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นภารกิจสกัดกั้น การป้องกันน่านฟ้า หรือการสนับสนุนภาคพื้นดิน และพร้อมปรับบทบาททันทีที่สถานการณ์เปลี่ยน

Gripen รุ่นแรกของโลกคือรุ่น A จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการบินแห่งชาติ กรุงเทพฯ ลำนี้รัฐบาลสวีเดนมอบให้พิพิธภัณฑ์เป็นที่ระลึก ในโอกาสครบรอบ 100 ปี บุพการีทหารอากาศ ปี พ.ศ. 2555

นอกเหนือจาก “พระเอก” ล่าสุดในกองทัพอากาศไทย พิพิธภัณฑ์นี้ยังมีเครื่องบินจริงและเครื่องบินจำลองที่น่าสนใจอีกจำนวนมาก โดยนำเสนอประวัติศาสตร์ด้านการบินของไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2453 เมื่อนักบินชาวเบลเยี่ยมนำเครื่องบินมาแสดงการบินให้ชาวไทยได้ชมเป็นครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 6

นิทรรศการที่น่าสนใจมีมากมาย อาทิ เครื่องบินจริงสองลำที่ผ่านสมรภูมิการรบในกรณีพิพาท อินโดจีน-ฝรั่งเศส นั่นคือ เครื่องบินขับไล่แบบที่ 10 (HAWK III) และเครื่องบินโจมตีแบบที่ 1 (Corsair) ซึ่งปัจจุบันเครื่องบินทั้งสองแบบมีเหลือเพียงเครื่องเดียวในโลกเท่านั้น 

น่าสะท้อนใจไม่น้อยที่ Gripen เหินฟ้าปฏิบัติภารกิจเหนือน่านฟ้ากัมพูชาในปี พ.ศ. 2568 น่านฟ้าเดียวกันกับกรณีพิพาท อินโดจีน-ฝรั่งเศส (ซึ่งต่างชาติเรียกว่า สงครามฝรั่งเศส-ไทย) อันเป็นสมรภูมิทางอากาศครั้งแรกของกองทัพอากาศไทย ปี พ.ศ. 2483 – 2484 

ผ่านมา 85 ปี ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา หวนคืนมาเป็นการสู้รบอีกครั้ง เครื่องบินรบของกองทัพอากาศร่วมปฏิบัติภารกิจป้องกันอธิปไตยอีกรอบ

ท่ามกลางกระแส “คลั่งชาติ” ของคนไทยจำนวนไม่น้อยที่โกรธแค้นกับเฟคนิวส์ ความถ่อยเถื่อนและกลับกลอกของฮุนเซน ผู้นำเผด็จการกัมพูชา เสียงชื่นชมสมรรถนะทางทหารของ Gripen หลายเสียงเชียร์ให้ไป “ทิ้งไข่” ถึงกรุงพนมเปญ ทำลายที่มั่นฮุนเซนให้ราบ ฯลฯ

กระแสนี้อาจเป็นการชดเชยความรู้สึกในเบื้องลึกของจิตใจคนไทยจำนวนมากว่า ประเทศกำลังอ่อนแอไร้ทิศทาง รัฐบาลก็ดูไม่น่าไว้วางใจ หันไปทางไหนก็ไม่เห็นมีสถาบันอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ อาจมีเพียงการปะทะกับกัมพูชาที่พอจะหลอมรวมจิตใจคนไทยให้เป็นปึกแผ่น ยึดมั่นใน “ชาติ” ได้ เพราะมี “ศัตรูของชาติ” ที่เป็นภัยคุกคามชัดเจน

ในภาวะเช่นนี้ อาจเป็นการยากที่จะเตือนสติกันว่า การใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยอย่าง Gripen ในทางที่สอดคล้องกับกฎการปะทะ สอดรับกับข้อตกลงระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศนั้น สำคัญยิ่งกว่าการเชียร์ให้ใช้สิ่งเหล่านี้เข่นฆ่าศัตรูให้ราบเป็นหน้ากลอง

เพราะยุทโธปกรณ์อย่าง Gripen ในโลกวันนี้ สำหรับประเทศอย่างไทย ควรเป็นส่วนหนึ่งของการแผ้วถางเส้นทางสู่สันติภาพ มิใช่เส้นทางสู่สงครามไม่รู้จบ.

ข้อมูลเพิ่มเติม: คู่มือกฎการใช้กำลัง (Rules of Engagement Handbook) (ฉบับแปลไทย)  https://iihl.org/wp-content/uploads/2022/12/RoE-Handbook-Thai.pdf

ข่าวล่าสุด

อินโดนีเซียทุ่ม 9 พันล้านดอลลาร์  ‘ซื้อเครื่องบินรบ J‑10 จากจีน’ 42 ลำ

อินโดนีเซียเตรียมเข้าซื้อเครื่องบินขับไล่ J-10C ของจีนซึ่งอาจทำให้อินโดนีเซีย กลายเป็นกองทัพต่างชาติรายที่สองที่ใช้งานเครื่องบินรบรุ่นนี้ ต่อจากปากีสถาน การเข้าซื้อครั้งนี้ถือเป็นการซื้อเครื่องบินรบที่ผลิตในจีน ครั้งแรกของอินโดนีเซีย

กฐินทาน.. มหากาลทาน ๑ ปี มีครั้งเดียว

กฐินทาน คือ การถวายผ้าแด่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงรักษาศีล สมาธิ และปัญญาอย่างเคร่งครัด หลังจากที่ได้จำพรรษาตลอดฤดูฝนในวัดหรืออารามแห่งใดแห่งหนึ่ง การถวายกฐินนี้ถือเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่ง เนื่องจากเป็นกาลทาน ที่นำมาซึ่งอานิสงส์อันมากมายให้แก่ผู้ที่ได้มีโอกาสทอดถวาย

 “มารยา” แห่งพนมเปญ  เมื่อกัมพูชาตระบัดสัตย์ปราบสแกมเมอร์

ความยินดีในการร่วมมือกับเกาหลีใต้เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนตกลายเป็นเพียงฉากหน้าของ “มารยาทางการทูต” เมื่อผู้นำกัมพูชาปฏิเสธการร่วมมือกับไทยอย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำยังผลักภาระให้ไทยไปแก้ปัญหาตนเองก่อน

วาระตกต่ำของ “ค่ายสีแดง” สะท้อนเกมอำนาจใหม่ เมื่อร่างรัฐธรรมนูญ “เพื่อไทย” ถูกโหวตคว่ำในสภา

มติที่ร่างฯ ถูกตีตกเพราะขาดเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิก เพียงหยิบมือ คือสัญญาณอันชัดเจนว่า กลไกอำนาจรัฐได้เปลี่ยนมือไปแล้วอย่างสมบูรณ์

ข่าวอื่นๆ

ลิซ่า’ ทูตการท่องเที่ยว ตั้งเป้ารายได้เข้าไทยแสนล้าน ครม.เล็งออกแพคเกจกระตุ้น

ประเทศไทยเดินหน้ากระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ด้วยการแต่งตั้ง ลิซ่า ลลิษา มโนบาล เป็น อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ แอมบาสเดอร์ หวังดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5-10 ล้านคน สร้างรายได้ 2.5-5 แสนล้านบาทในปี 256

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.ต.อ.สรายุทธ สงวนโภคัย เป็น ผู้ตรวจการแผ่นดิน คนใหม่

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง นายอิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ เป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามประกาศลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 นั้น ต่อมา นายอิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ ได้พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน เนื่องจากลาออก เป็นเหตุให้ตำแหน่งว่างลง

มหาดไทยเสนอโยกย้าย“รองปลัดกระทรวง-อธิบดี-ผู้ว่าราชการจังหวัด-ผู้ตรวจราชการกระทรวง”

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย จะนำเสนอบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยในตำแหน่ง “รองปลัดกระทรวง-อธิบดี-ผู้ว่าราชการจังหวัด-ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย” ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ความเห็นชอบ