การเดินทางเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ของนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กลายเป็นบททดสอบแรกที่สั่นคลอนความชอบธรรมของรัฐบาลชุดใหม่ทันทีที่เริ่มทำงาน เมื่อภารกิจเพื่อ “นำไทยกลับสู่จอเรดาร์โลก” เกิดขึ้นในช่วงสุญญากาศก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอย่างเป็นทางการ ก่อให้เกิดคำถามสำคัญว่า การกระทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติ สามารถอยู่เหนือหลักการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นในคืนวันที่ 25 กันยายน 2567 เมื่อนายสีหศักดิ์ออกเดินทางสู่นครนิวยอร์ก เพื่อปฏิบัติภารกิจในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ถึงความเหมาะสมและความชอบด้วยกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศได้เปิดเผยให้เห็นถึงเดิมพันสำคัญที่อยู่เบื้องหลังภารกิจครั้งนี้ โดย นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า การเดินทางครั้งนี้มีวาระเร่งด่วนที่รอไม่ได้ ทั้งการแสดงวิสัยทัศน์ของไทยต่อสถานการณ์โลกที่กำลังเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเมียนมา ยูเครน และตะวันออกกลาง และที่สำคัญที่สุด คือการใช้เวทีนี้ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ให้ประชาคมโลกได้รับฟังจากมุมมองของไทยโดยตรงเป็นครั้งแรก
นอกจากนี้ ตารางการหารือยังเต็มไปด้วยนัดหมายสำคัญกับบุคคลระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นเลขาธิการสหประชาชาติ, ประธานคณะมนตรีความมั่นคง (รัสเซีย), ประธานอาเซียน (มาเลเซีย), ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยเมียนมา และการพบปะกับสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุน ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึง “ความจำเป็น” ที่ฝ่ายรัฐบาลนำมาเป็นเหตุผลสนับสนุน
แม้ภารกิจจะเต็มไปด้วยผลประโยชน์ของชาติ แต่เงื่อนเวลาของการเดินทางกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ เมื่อเกิดขึ้นก่อนกำหนดการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 29-30 กันยายน ซึ่งขัดแย้งกับหลักการในรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า คณะรัฐมนตรีจะเข้าบริหารราชการแผ่นดินได้ก็ต่อเมื่อได้แถลงนโยบายและได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภาแล้วเท่านั้น
ช่องว่างทางกฎหมายนี้เองที่ทำให้นักกฎหมายและนักการเมืองออกมาตั้งคำถามถึงความชอบธรรม โดยเฉพาะ นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี และนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้แสดงความเห็นในทำนองเดียวกันว่า การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ และอาจนำไปสู่การสิ้นสุดสถานะความเป็นรัฐมนตรีได้หากมีการยื่นร้องและศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าผิดจริง พร้อมเรียกร้องให้องค์กรอิสระอย่างผู้ตรวจการแผ่นดินเข้ามาตรวจสอบ
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงว่า ภารกิจนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนและจำเป็น โดยได้มีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ซึ่งให้ความเห็นว่าสามารถเข้าร่วมได้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติไม่ให้ขาดตอน
กรณีของนายสีหศักดิ์จึงเป็นการปะทะกันอย่างจังระหว่าง “ความจำเป็นของภารกิจระหว่างประเทศ” ที่รอไม่ได้ กับ “ความถูกต้องตามหลักการรัฐธรรมนูญ” ที่จะมองข้ามก็ไม่ได้เช่นกัน และได้กลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ยังไม่มีบรรทัดฐานใดมาเทียบเคียง บทสรุปของเรื่องนี้จึงเป็นมากกว่าแค่การปฏิบัติภารกิจทางการทูต แต่เป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่นำหลักนิติรัฐมาวางอยู่บนตาชั่งเดียวกับผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งไม่ว่าผลการวินิจฉัยในอนาคตจะออกมาเป็นเช่นไร กรณีนี้ก็ได้กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยแล้วอย่างแน่นอน