โดยปกติแล้ว การกล่าวถ้อยแถลงบนเวทีสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติมักเต็มไปด้วยภาษาราชการที่เคร่งขรึมและคาดเดาได้ แต่ไม่ใช่สำหรับครั้งนี้ เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยต้องตัดสินใจ “ฉีกบท” ที่เตรียมมาทิ้งไป แล้วลุกขึ้นตอบโต้กัมพูชาอย่างดุเดือดและตรงไปตรงมาชนิดที่เรียกว่าหมัดต่อหมัด
เดิมทีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศตัวแทนฝ่ายไทย ตั้งใจจะกล่าวถึงประเด็นที่เป็นบวกเพื่อสร้างสรรค์อนาคต แต่หลังจากได้ฟังถ้อยแถลงที่น่าผิดหวังของฝ่ายกัมพูชา เขาก็ต้องปรับแก้ถ้อยแถลงใหม่ทั้งหมด เพื่อฉายภาพให้ประชาคมโลกเห็นว่าเบื้องหลังความขัดแย้งตามแนวชายแดนที่ถูกนำเสนอเพียงด้านเดียวนั้น ยังมีความจริงอีกชุดที่ซับซ้อนกว่าที่กัมพูชาพยายามบอกเล่า และนี่คือหมัดเด็ดที่ไทยสวนกลับไป
[พลิกบทบาท: ตกลงแล้วใครคือ “เหยื่อตัวจริง”?]
หมัดแรกและทรงพลังที่สุดคือการทลายบทบาท “เหยื่อ” ที่กัมพูชาพยายามสวมบทบาทซ้ำแล้วซ้ำเล่า แทนที่จะแก้ต่างเพียงอย่างเดียว นายสีหศักดิ์กลับพลิกมุมมองและนำเสนอภาพของ “เหยื่อที่แท้จริง” ในมุมของฝ่ายไทยขึ้นมาแทน โดยระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นใครบ้าง
“ทุกคนจะรับทราบว่า ‘ใครคือเหยื่อที่แท้จริง’ เพราะพวกเขาเหล่านั้น คือ ทหารไทยที่สูญเสียขาจากทุ่นระเบิด, เด็ก ๆ ที่โรงเรียนถูกถล่ม และพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ที่กำลังจับจ่ายซื้อของอยู่ในร้านค้า แต่กลับถูกโจมตีด้วยจรวดของกัมพูชา” การพลิกมุมมองเรื่อง “เหยื่อ” ในครั้งนี้ถือเป็นกลยุทธ์ทางการทูตที่สำคัญ เพราะไม่ใช่แค่การปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่เป็นการช่วงชิงความชอบธรรมและทวงคืนพื้นที่ทางศีลธรรมบนเวทีโลกกลับมาอย่างชาญฉลาด
[สองหน้า? สิ่งที่พูดในที่ประชุมกลับตรงข้ามกับสิ่งที่พูดบนเวที]
นายสีหศักดิ์ได้เปิดเผยความไม่สอดคล้องกันในท่าทีของกัมพูชาให้ประชาคมโลกได้เห็น โดยเล่าว่าเพียงหนึ่งวันก่อนหน้าการกล่าวถ้อยแถลงที่เผ็ดร้อนนี้ ทั้งสองฝ่ายเพิ่งจะเข้าร่วมการประชุม 4 ฝ่าย (ร่วมกับสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย) ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยการพูดคุยถึงเรื่องสันติภาพ ความไว้วางใจ และการเจรจา แต่คำกล่าวของกัมพูชาบนเวทีในวันถัดมากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง นายสีหศักดิ์ชี้ว่าข้อกล่าวหาเหล่านั้นห่างไกลจากความจริงจนเป็น “การล้อเลียนความจริง”

การกระทำเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึง “เจตนาที่แท้จริง” ของกัมพูชา และเป็นการชี้ให้ประชาคมโลกเห็นถึงความไม่จริงใจในการแสวงหาทางออกอย่างสันติ ซึ่งทำให้คำกล่าวอ้างของกัมพูชาขาดความน่าเชื่อถือลงไปอย่างมาก
[ย้อนรอยประวัติศาสตร์: เมื่อไทยเคยยื่นมือช่วยในยามลำบาก]
เพื่อหักล้างภาพลักษณ์ผู้รุกรานที่กัมพูชาพยายามสร้างขึ้น นายสีหศักดิ์ได้หยิบยกเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมาเตือนความจำประชาคมโลก โดยเริ่มจากประเด็นที่ไทยเคยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษ 1970 ด้วยการเปิดพรมแดนรับชาวกัมพูชาหลายแสนคนที่หลบหนีภัยสงครามกลางเมืองเข้ามาลี้ภัยในดินแดนไทย แต่ปัญหาที่ตามมาคือ แม้สงครามจะจบลงและศูนย์พักพิงถูกปิดไปแล้ว หมู่บ้านของผู้ลี้ภัยกลับขยายตัวรุกล้ำดินแดนไทยต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ โดยที่กัมพูชาเพิกเฉยต่อคำประท้วงของไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และน่าเจ็บปวดที่พื้นที่บางส่วนซึ่งไทยเคยให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ผู้ลี้ภัย เช่น บริเวณบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว กลับกลายเป็นประเด็นที่กัมพูชาหยิบยกมากล่าวหาไทยในปัจจุบัน
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกัมพูชากลับสู่สันติภาพ ไทยก็ยังเข้าไปช่วยฟื้นฟูประเทศ ทั้งการสร้างบ้าน ถนน และโรงพยาบาล ประเด็นนี้ทรงพลังถึงขนาดที่ได้รับเสียงปรบมือจากที่ประชุม สะท้อนให้เห็นว่าประชาคมโลกเข้าใจถึงความช่วยเหลือที่ไทยเคยมีให้ ซึ่งขัดแย้งกับภาพที่กัมพูชากล่าวหาอย่างสิ้นเชิง
[ไม่ได้นิ่งเฉย: การยั่วยุที่ยังเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน]
นายสีหศักดิ์ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าสถานการณ์ชายแดนยังคงตึงเครียด ไม่ใช่เพราะฝ่ายไทย แต่เป็นเพราะการกระทำยั่วยุอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา ซึ่งเขาได้แจกแจงให้ที่ประชุมได้รับทราบอย่างชัดเจน ทั้งการระดมพลเรือนกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยไทย การยิงปืนใส่ทหารไทยตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน การตรวจพบโดรนสอดแนมของกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในดินแดนอธิปไตยไทย ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน
การกระทำเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยอย่างร้ายแรง แต่ยังเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่มีอยู่อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าฝ่ายใดกันแน่ที่ไม่เคารพข้อตกลงและบ่อนทำลายความพยายามในการสร้างสันติภาพ
[คำถามสุดท้าย: จะเลือกสันติภาพหรือการเผชิญหน้า?]
ในช่วงท้ายของถ้อยแถลง นายสีหศักดิ์ไม่ได้ปิดท้ายด้วยการกล่าวหา แต่เป็นการทิ้งคำถามสำคัญที่ทรงพลังไว้ให้กัมพูชาและประชาคมโลกได้ขบคิด เขาย้ำว่าไทยยืนหยัดในแนวทางสันติภาพและพร้อมจะเจรจาเสมอ ก่อนจะถามกัมพูชาโดยตรง
“ฝ่ายกัมพูชา ปรารถนาจะเลือกเส้นทางใด จะเป็นเส้นทางแห่งการเผชิญหน้าอย่างต่อเนื่อง หรือเส้นทางแห่งสันติภาพ และความร่วมมือ”
จากนั้นฝ่ายไทยได้ประกาศจุดยืนของตนเองอย่างชัดเจนว่า “ประเทศไทยเลือกเส้นทางแห่งสันติภาพ” ซึ่งถือเป็นการโยนแรงกดดันทั้งหมดกลับไปให้กัมพูชาที่จะต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์ความจริงใจของตนเองต่อหน้าประชาคมโลกว่าพร้อมจะเดินไปบนเส้นทางนี้ร่วมกันหรือไม่
ถ้อยแถลงของไทยในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การลุกขึ้นมาแก้ต่างข้อกล่าวหา แต่เป็นการแสดงจุดยืนที่หนักแน่น ชัดเจน และเปี่ยมด้วยชั้นเชิงทางการทูตบนเวทีโลก พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลอีกด้านที่หลายคนอาจไม่เคยรับรู้มาก่อน และทิ้งท้ายไว้ด้วยคำถามที่ยังคงต้องการคำตอบว่า เมื่อคำพูดทางการทูตสวนทางกับการกระทำ สองเพื่อนบ้านจะสามารถหาหนทางเดินไปข้างหน้าร่วมกันได้อย่างไร?
.#ไทยกัมพูชา #กระทรวงการต่างประเทศ #สีหศักดิ์ #ประชุมUN #ปรักสุคนธ์ #กัมพูชา #ประเทศไทย
(ที่มาNationSTORY)