วันอังคาร, ตุลาคม 21, 2025
spot_imgspot_imgspot_img

“ห้องนั้น”

เผยแพร่

spot_img

“เหลือห้องเดียว….นะครับ

          คุณแน่ใจนะว่า..จะพัก…?”

                       เสียงแหบพร่าของชายแก่เจ้าของโรงแรมเก่าริมทาง บอกแทรกผ่านเสียงฝนซัดกระจกจนแทบกลืนทุกเสียง 

                       ผมเห็นรอยขอบตาคล้ำและผิวเหี่ยวย่น ราวกับเวลาสะสมบนใบหน้าเขาหลายสิบปี

                       ผมพยักหน้าแทนคำตอบ  

มือเย็นชื้นจากฝน เอื้อมรับกุญแจเหล็กขึ้นสนิมมาถือ   กุญแจนั้นเย็นเฉียบเหมือนสัมผัสน้ำแข็งเปล่า   ป้ายไม้สลักเบอร์ 13 ห้อยอยู่

                     “ถ้ามีอะไรผิดปกติ… อย่าทำเสียงดัง”

                       คำพูดนั้นยังคงก้องอยู่ในหัวผม ขณะที่ก้าวเข้าไปในความมืดแล้วเดินขึ้นบันไดไม้ที่ราวเกาะโยกเยก…

                      ฝนกระหน่ำจนถนนริมทางหลวงกลายเป็นลำธาร

ผมทั้งดึงทั้งลากกระเป๋าเก่าขึ้นบันไดไม้ทุกขั้นลั่นเอี๊ยดเหมือนเตือนว่าผมควรนอนในรถจะดีกว่า  ไม่ควรมาด้วยซ้ำ

                      ห้องหมายเลข 13 อยู่สุดทางเดิน ไฟนีออนกระพริบไม่สม่ำเสมอ ผนังเปียกชื้นมีคราบน้ำสีคล้ำเหมือนเลือดเก่าติดเกรอะกรัง

                     ลมหนาวซุกซ่อนอยู่ในมุมมืด   จนรู้สึกถึงความเย็นที่ซึมเข้ากระดูกสันหลัง

                      เหลียวซ้ายแลขวาที่นอกจากความเงียบ ยังมัว ๆ เหมือนความโศกสลดของใครสักคน 

                      ผมไขกุญแจอยู่เกือบนาที กว่าจะเปิดออกได้ กลิ่นอับชื้นผสมกลิ่นสนิมแรงขึ้นทุกวินาที พื้นไม้เย็นชื้น มือสั่นเล็กน้อย

                    ไฟติดครึ่งเดียว อีกฝั่งมืดสนิท พัดลมเพดานหมุนช้า ๆ     

                   “กึก… กึก…” 

เหมือนหัวใจห้องที่เต้นช้า ๆ

                     บนผนัง กระจกเก่าบานใหญ่สะท้อนตัวผม แต่เงาที่สะท้อนเหมือนขุ่นมัว มีบางอย่างคล้ายหมอกค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาใกล้จนใจคอไม่ดี

                     ผมวางกระเป๋า นั่งลงบนเตียงไม้ เสียงลั่น “เอี๊ยด” ดังขึ้นเหมือนใครนอนอยู่ก่อนหน้า

                     หัวใจผมเต้นแรง มือเย็นชืด

                  “เสียงไม้เก่าน่ะ… ใช่ มั้ง” ผมปลอบตัวเอง

                     แต่สายตาเริ่มจับอะไรบางอย่างในมุมมืด   เงาร่างบาง ๆ เคลื่อนผ่านเสี้ยวหนึ่งของประตู จนขยลุกชัน

                    มือควานไปทั่วโต๊ะใกล้ ๆ หลังจุดเทียน ผมหยิบไดอารี่ออกมาเขียนด้วยความเคยชินของการเดินทาง…

                 “คืนนี้พักที่โรงแรมไม้เก่าริมทางหลวงสายเก่า

ฝนตกหนัก ไม่มีที่ไป ห้องหมายเลข 13ดูแปลก ๆ  แต่ก็ไม่เลวร้ายอะไร”

                    พลันเทียนสั่นไหวตามแรงลมจากพัดลมเพดานที่หยุดหมุนแล้วกลับมาติดใหม่

                    เสียงหยดน้ำ “ติ๊ก… ติ๊ก… ติ๊ก…” บนหลังคาสังกะสีดังขัดกับความเงียบหนาทึบ

                    กลิ่นไม้เปียกชื้นและสนิมเข้มข้นจนแทบหายใจไม่เต็มปอด

                    ผมวางสมุดลง หัวใจเต้นรัว ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังจ้องอยู่ในมุมมืด

                    ผมสะดุ้งตื่นกลางดึก  …มืดสนิท

                    แต่มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัว ….. ฝีเท้าช้า ๆ ลากไปมาที่ปลายเตียง — “กึก… กึก…”

                    ใจเต้นแรง หันไปทางประตู…ที่หมายแรกที่จะต้องทำ

                    ผมหยิบไฟฉายจากกระเป๋า ส่องไปรอบห้อง  ไม่มีอะไร

                    แต่ในกระจก… ผมเห็นเงาคนยืนอยู่ข้างหลัง

            คิดขึ้นได้ทันที…หันขวับกลับหลังไปจ้อง …

                    ห้องว่างเปล่า….!

                    หัวใจเต้นแรง ลมหายใจสั้นและร้อน

         ผิวหนังรู้สึกหนาวเย็นประหลาดที่ต้นคอ

                   รีบคว้าเสื้อแจ็คเก็ต เตรียมจะออกจากห้อง

         ผมทนต่อไปไม่ได้….ผมจะรอจกว่าจะถึงรุ่งเช้าไม่ได้แน่

        เปิดประตูเสียงดัง… สิ่งที่เห็นคือ กำแพงไม้ตัน

                   ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีทางเดิน….!

        รีบดึงประตูกลับดังโครม…เลื่อนสลักกลอนที่กำลังหลุดร่วง

         ผมเคาะประตูแรงขึ้นเรื่อย ๆ

                  “มีใครอยู่ไหม! ช่วยด้วย!”

เสียงสะท้อนกลับมาชัดเจน …..

                  “มีใครอยู่ไหม! ช่วยด้วย!”

        เสียงสะท้อน   เป็นเสียงของผมเอง

                     เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้

เทียนเล่มสุดท้ายดับลง   เหลือเพียงแสงเลือนลางจากกระจก

                    เงานั้นยังอยู่  ยืนนิ่ง ไม่กะพริบตา

      หัวใจผมเต้นแรงจนแทบสลาย….!

เงานั้น…

                     เริ่มยิ้มช้า ๆ….!

       ลมหายใจผมตื้นและสั่น

        เหงื่อเย็นไหลตามขมับ

                     ผมนั่งลงพิงผนังห้อง  รู้สึกเหมือนว่าร่างของผมเริ่ม ละลายเข้าไปในความมืด

      ลุกขึ้นไปกระแทกหน้าต่างจนฝุ่นฟุ้งกระจายเป็นสายหมอก

ผลักไม่ออก

                    ไม่กล้านอนบนเตียงไม้ที่เสียงดังทุกครั้งที่นั่งหรือขยับท่านอน

                      ค่อย ๆ หย่อนตัวลวไปตามพื้นราบของห้องอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ตาขึงไม่ยอมหลับ

                      นานแสนนานจนผลอยไป….

                     เสียงเคาะปลุกให้ผมตื่น

“คุณครับ… คุณครับ…เช้าแล้ว   คุณจะเช็กเอาต์ใช่ไหม?”

                    ผมสะดุ้งอีกครั้ง  รีบเปิดประตู พบชายแก่เจ้าของโรงแรมที่ขายห้องแห่งความกลัวยืนอยู่   หน้านิ่งเฉยเหมือนจะไม่ยอมรับรู้เหตุการณ์ใด

                    แสงเช้าอ่อนโยนแต่ยังเย็นตามร่างกาย

                 “เมื่อคืนคุณเสียงดังหน่อยนะครับ 

ห้องนี้สะท้อนเสียงแรง”

เขายิ้มจาง “ผมคงฝันร้าย”  ถอนหายใจ แล้วถามขึ้น

                “มีคนพักห้องนี้ก่อนผมไหมครับ?”

                  ชายแก่ไม่ตอบ ยื่นกาแฟที่เย็นชืดให้ ผมรับมามือยังสั่น

พร้อมกับเปรยขึ้นมา  “ผมคงฝันร้าย” แล้วถามซ้ำอีก

                “มีคนพักห้องนี้ก่อนผมไหมครับ?”

ชายแก่เงียบ ก่อนตอบเบา ๆ

                “ไม่มีนะ !“

                “เอ…แต่ผมเห็น”

          “คุณเห็นอะไร”  ชายแก่พูดเร็วพลางจ้องหน้า

          “เปล่า..เปล่า..ผมคิดไปเอง”  ผมรีบกลบเกลื่อน

                   ชายชรามองไปทางบันไดเหมือนนึกอะไรได้ หันมาพูดเบา ๆ  อาจเปลี่ยนใจที่เก็บงำไว้

                 “ก็มีนะ ..แต่นานแล้ว  ช่างไฟฟ้าชื่อแป้น เขามาแก้สายไฟ แล้วก็หายไป”

                “แป้น…หน้าตาล่ะลุง..”   ผมรีบถาม

 ชายชราลังเลเหมือนคิด  มือเกาศีรษะแล้วลูบคาง …

หันไปทางมุมห้อง ก้มรื้อหนังสือพิมพ์เก่ากองสูงครู่ใหญ่ จนดึงออกมาหนึ่งฉบับ  ปัดฝุ่นฟุ้งกระจาย แล้วจ้องที่ภาพข่าว

                  มือผมสั่นทันทีเมื่อชายแก่ชี้ตรงภาพนั้นให้ดู….

                  ผมก้มแล้วจ้อง…แล้วพยักหน้าเหมือนพอจำได้ ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

                  ลุงแก่ชายตาไปทางบันไดอีก…. แล้วเหลือบมาทางผม

ทำท่าเหมือนจะบอกอะไร 

                  แต่เปลี่ยนใจเดินเลี่ยงออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อน

                  เหมือนเงาทาบอยู่ทางขึ้นห้องพัก  ผมไม่กล้ามองไปทางบันได ยกกระเป๋าแล้วสอดสายผ้าคล้องบ่ารีบเดินออกไปไล่เลี่ยกัน

                  ผมขับรถออกจากโรงแรมเก่าชายป่าอันแสนน่ากลัว

ด้วยความไม่สบายใจ ฝนหยุด  ถนนว่างเปล่า

          ย่านนี้ น่ากลัวอีกแล้ว…

                 พยายามโทรหาคนในครอบครัว แต่ไม่มีใครรับสาย

และยังไม่ได้โทรกลับมาจนหงุดหงิด

                บริเวณนี้ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ใด ๆ ทั้งนั้น

                  รถเลี้ยวเข้าแนวป่าที่มืดครึ้มวังเวงเหมือนฝนจะตกลงมาอีก

                 ผมจะต้องขับรถผ่านป่าไปอีกไกล  กำลังตัดสินใจว่าจะหยุดพักก่อน หรือรีบขับให้พ้นแนวป่า

                 พลันก็นึกถึงชายแก่..และบันไดขึ้นห้องพัก

                ผมหยุดรถ   เหลือบดูกระจกมองข้าง…..!

สดุ้งสุดตัว…!

                ผงะหงาย ทำให้รถกระตุกแรง…จนดับ

               ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาไม่ใช่ของผม

                มันคือช่างไฟคนนั้น คนที่เจอในกระจก…ช่างแป้น

คนที่ชายแก่เฝ้าโรงแรมพูดถึง

                พอได้สติ…รีบติดเครื่องยนต์กระชากรถออกไปทันที 

                 เหยียบคันเร่งหนีออกจากที่นั่น…แล้วเหมือนมีเสียง

และเงาวูบวาบตามมา …

                 ยิ่งเร่ง…มันยิ่งตาม…!

        ผมห้ามล้อให้ลดความเร็วรุนแรงจนหน้าคะมำ

                ชั่วอึดใจ ค่อย ๆ ชายตาไปดู

                พลันมองกระจกส่องหลัง  มีเงาหนึ่งนั่งอยู่เบาะหลัง

ยิ้มให้ผมช้า ๆ……และหยุดยิ้มทันทีที่สบตากัน !

               หน้าเหมือนจะขึ้งโกรธ..

                ผมจ้องอีกครั้ง….!

                ผมกลั้นหายใจ ..รู้แน่แล้วว่า… ผมไม่เคยออกจากห้องหมายเลข 13 เลยตั้งแต่แรก

ข่าวล่าสุด

ทุกเสียงของประชาชน… คือพลังของชาติ

บทบรรณาธิการ Thaitribuneครั้งที่ 4 วันที่ 19 ตุลาคม 2568 “ทุกเสียงของประชาชน… คือพลังของชาติ” ...

ชีวิตของ เบโรนิกา วัย 13 ปี ต้องพังทลายลงในเดือนตุลาคม 1998

เรื่องสั้น...ชีวิตของ เบโรนิกา วัย 13 ปี ต้องพังทลายลงในเดือนตุลาคม 1998 วันนั้นเธอถูกชายชื่อ อันโตนิโอ กอสเม คนรู้จักในย่านนั้น ใช้มีดทำร้ายและย่ำยี แม้กอสเมจะถูกจับกุมและได้รับโทษจำคุก 9 ปี แต่รอยแผลทางจิตใจของเบโรนิกาและครอบครัว... ไม่มีวันหาย

ปรับลดราคาน้ำมันน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร และน้ำมันเบนซินลง 30 สตางค์ต่อลิตร

กบน.ได้พิจารณาสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก และให้ความสำคัญกับการดูแลภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน จึงสั่งการให้มีการประชุม กบน.ในวันนี้ เพื่อปรับลดราคาน้ำมันน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร และน้ำมันเบนซินลง 30 สตางค์ต่อลิตร

พาณิชย์จัดมหกรรมสินค้าลดราคาเทศกาลกินเจ อิ่มบุญ 21-29 ต.ค.นี้

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการแถลงเปิดงาน "มหกรรมสินค้าลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญ ราคาประหยัด" ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยในปีนี้ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ผนึกกำลังร่วมกับภาคีเครือข่ายพันธมิตร 97 ราย

ข่าวอื่นๆ

ชีวิตของ เบโรนิกา วัย 13 ปี ต้องพังทลายลงในเดือนตุลาคม 1998

เรื่องสั้น...ชีวิตของ เบโรนิกา วัย 13 ปี ต้องพังทลายลงในเดือนตุลาคม 1998 วันนั้นเธอถูกชายชื่อ อันโตนิโอ กอสเม คนรู้จักในย่านนั้น ใช้มีดทำร้ายและย่ำยี แม้กอสเมจะถูกจับกุมและได้รับโทษจำคุก 9 ปี แต่รอยแผลทางจิตใจของเบโรนิกาและครอบครัว... ไม่มีวันหาย

แดดยามบ่ายสาดส่องลงบนกำแพงเรือนจำชาย  แดนสีเทา

แดดยามบ่ายสาดส่องลงบนกำแพงเรือนจำชาย แดนสีเทา ที่นั่น...ไม่ใช่สถานที่ ที่ใครอยากจะเข้าไป ไม่มีใครอยากจะพูดถึง แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่และนักโทษ ที่อยู่ในนั้นแล้วก็ตาม

ฟรันซ์ คาฟคา (Franz Kafka, ค.ศ. 1883–1924)

“เรื่องสั้น” เมื่อฟรันซ์ คาฟคา (Franz Kafka, ค.ศ. 1883–1924) อายุได้ 40 ปี เขายังไม่เคยแต่งงานและไม่มีบุตร วันหนึ่งเขาเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่กรุงเบอร์ลิน และบังเอิญพบกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่กำลังร้องไห้ เพราะเธอทำ “ตุ๊กตาตัวโปรด” หาย