เขายืนบนเวทีสว่างจ้า ท่ามกลางผู้คนหลายร้อยนั่งเงียบกริบในความมืด
แสงไฟสาดส่องตรงโพเดียม เผยให้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของนักเขียนประเภทระทึกขวัญสั่นประสาท
“สวัสดีครับ ผมชื่อนายระทึก..!“
เสียงปรบมือดังขึ้นยาวนานทั้งซ้ายขวาของห้องประชุม เหมือนใจจดใจจ่อรอเวลามานานที่จะได้ฟังเรื่องเล่าที่โจษขานกันอยู่ในโลกโซเชียล
แต่เขาไม่ได้มีทีท่ายินดียินร้าย เพียงแค่ยกมือโบกไปมาเหมือนให้รอก่อน
“ไม่ต้องครับ… ยังไม่ต้อง…
ขอให้ทุกคนฟังเรื่องราวของผมให้จบก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะปรบมือให้ผมดีหรือเปล่า”
เสียงปรบมือค่อยๆ เงียบลง …
เหลือเพียงความเงียบงันที่น่าอึดอัด เขาค่อยๆ ล้วงกระเป๋าเอกสาร แล้วหยิบสมุดบันทึกที่เปื่อยยุ่ยเล่มนั้นออกมาอย่างระมัดระวังไม่ให้ร่วงหล่นเป็นผุยผงเสียก่อนที่เขาจะพูดจบ
จ้องไปทางผู้ฟัง ถอนหายใจ แล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความเยือกเย็น
“ทุกอย่างเริ่มต้นจากห้องสมุดลับที่เก็บเอกสารเก่าแก่เอาไว้ บันทึกโบราณเล่มหนึ่งที่ไม่มีใครเคยสนใจดึงดูดสายตา มันพูดถึงหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อ “เงาอิง” ซึ่งไม่ปรากฏอยู่บนแผนที่ใดๆ เลย”
นักเขียนเรื่องระทึกขวัญเว้นช่วงให้ผู้ฟังได้คิดตาม
“ว่ากันว่าที่นี่คือที่ตั้งของพิธีกรรมโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมานับพันปี และที่สำคัญ… ไม่มีใครเคยกลับมาเล่าถึงมันได้…
และสำหรับผมที่ดั้นด้นไปนั้น นั่นคือสิ่งที่จุดประกายความท้าทายผม….
เขาทิ้งระยะขณะที่เสียงเริ่มจะฮือขึ้น…
ทั้ง ๆ ที่ผมก็คิดในขณะนั้นว่า ผมก็อาจเป็นเหมือนคนอื่น ๆ ที่ไม่อาจกลับออกไปเล่าเรื่องลึกลับน่ากลัวอย่างนั้นให้ใครได้ฟังอีกแล้ว….“
มีเสียงซุบซิบและต่างก็ก้มหน้าพูดคุยกันถึงความน่ากลัว
ทันทีที่เขาเล่าถึงการเดินทางเข้าไปในป่าทึบและหมอกหนา เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นจากกลุ่มผู้ฟังกระจายกันทั้งห้อง
“ทุกคนรู้ไหมครับว่า ความรู้สึกของการเดินเข้าไปในที่ที่ไม่มีใครเคยไป มันน่าตื่นเต้นแค่ไหน?“
เขาเล่าอย่างตื่นเต้นว่า
“เมื่อถึงหมู่บ้าน สิ่งที่สัมผัสได้คือความเงียบที่ไม่ได้สงบ แต่เป็นความเงียบที่กดดัน… ชาวบ้านที่นั่นมองผมด้วยสายตาแปลกๆ ราวกับผมเป็นสัตว์ประหลาดที่หลงเข้าไปในดินแดนของพวกเขา”
ความเงียบของห้องประชุมกลับมีเสียงดังขึ้น
เขาพยายามหาคำอธิบายให้กับทุกสิ่งที่เห็นในวันนั้น และสิ่งที่เขาพบก็คือ “พิธีอัญเชิญเงา” ซึ่งจัดขึ้นทุกคืนเดือนมืด ชาวบ้านจะมารวมตัวกันรอบกองไฟ แล้วพึมพำบทสวดโบราณที่ฟังไม่เป็นภาษา
สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ข้อมือซ้ายของพวกเขาทุกคน มีรอยสักเป็นสัญลักษณ์โบราณภาพหัวกระโหลกมนุษย์ที่ตายไปแล้ว เหมือนกันหมด เขาคิดว่านี่คงเป็นสัญลักษณ์ของการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน…หรือนัยหนึ่ง..คือสาวก !”
เสียงฮือฮามาจากหลายทิศทางถึงความน่ากลัว
ผู้ฟังบางคนเริ่มกระซิบกระซาบกันเอง นักเขียนยิ้มเล็กน้อยในใจ
“คุณผู้ฟังครับ ยิ่งผมค้นคว้าลึกเท่าไหร่ ชาวบ้านก็ยิ่งมองผมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จากความระแวดระวังก็กลายเป็นความจงใจจะเฝ้าดูทุกย่างก้าวของผม”
นักเขียนชะงักไปชั่วขณะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น จนคนฟังกระสับกระส่ายยื่นหน้าออกไป
“คืนหนึ่ง ผมได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาที่เรียกชื่อผม มันรู้จักผมอย่างไรไมรู้ …
มันน่ากลัวไหม ที่ใครจะมารู้จักได้ในต่างแคว้นแดนไกลอย่างนั้น….
มันมาจากเงามืดด้านนอกกระท่อม… แต่เมื่อหันไป ก็ไม่พบใคร… และแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ผมคือ คนนอกคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ในหมู่บ้านนี้… ..
นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่เคยมีข่าวว่ามาเยือนหมู่บ้านนี้ก่อนหน้าผม ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย…
ผมยืนยีนว่า ผมกลัวมาก …..!!
ผมเขียนเรื่องสั้นแนวระทึกขวัญ ประเภทอกสั่นขวัญผวามาช้านาน เขียนเรื่องให้คนอ่านกลัว…..
คุณเข้าใจใช่ไหมว่า พยายามชี้ให้คนอ่านเห็น ให้อ่านแล้วกลัว….
เรียกว่าอยู่กับความน่ากลัวมากว่ายี่สิบปี แต่มันไม่น่ากลัวเท่าที่ได้มาเจอจริง ๆ….
กลายเป็นว่า….ผมมากลัวเสียเอง….“
หยุดพูดพลางใช้สองมือลูบใบหน้าไปมาให้หายตื่นเต้น
ห้องสัมมนาเงียบกริบ ทุกคนนั่งนิ่ง ตาจ้องไปที่จุดเดียว
ทันทีที่นักเขียนพูดจบ เสียงกรีดร้องเบาๆ ก็ดังขึ้นจากผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มผู้ชม ห้องประชุมต่างหันไปมองจุดเดียว
เสียงนักเขียนเล่าต่อ
“แล้วในที่สุด….ก็มาถึงวันนั้น….
คืนเดือนดับมาถึง ชาวบ้านรวมตัวกันหน้าแท่นบูชา สายตาของพวกเขาว่างเปล่า แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำพิธีกรรมให้สำเร็จ ผมเปิดสมุดบันทึกของผมอีกครั้ง แล้วในที่สุดผมก็ถอดรหัสบทสวดโบราณนั้นได้สำเร็จ…”
ห้องประชุมเงียบ ใจจดจ่อฟัง
“นั่นไม่ใช่ ‘พิธีอัญเชิญเงา’ อย่างที่พวกเขาบอก… แต่มันเป็น ‘พิธีสังเวยเงา’ และสัญลักษณ์ที่ผมเห็นตามผนังไม่ใช่การบูชา… แต่มันคือ เครื่องหมายของการเป็นเหยื่อ และผู้มาเยือนคนต่อไปที่จะถูกสังเวยก็คือ… ตัวผมเอง
ซึ่งผมจะยอมไม่ได้ ยอมไม่ได้…”
คราวนี้ เขาหยุดพูด แล้วหันไปมองรอบ ๆ ห้องประชุมที่ต่างนั่งนิ่ง จ้องมายังเขาเหมือนไม่กระพริบตา
เสียงฮือฮาดังขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ แล้วนักเขียนเรื่องระทึกขวัญหยุดพูดชั่วขณะให้ทุกคนได้หายใจหายคอ
“ชาวบ้านหรือสาวก เริ่มขยับเข้ามาหาผมช้าๆ ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวด้วยความบ้าคลั่ง เสียงบทสวดที่ฟังไม่เป็นภาษาดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันชัดเจน…
มันเรียกชื่อผมซ้ำๆ และชี้มาที่ผม… จนต้องหนี… ผมตัดสินใจในทันควัน วิ่งหนีออกจากพิธีจนข้าวของตรงนั้นแตกกระจาย
วิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต มุ่งเข้าไปในป่าทึบ แต่ทุกเส้นทางกลับนำผมกลับมายังใจกลางหมู่บ้าน และผมก็ตระหนักได้ว่าผม… ไม่ใช่ผู้ล่า แต่เป็นผู้ถูกล่า!”
นักเขียนเล่าถึงการวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งเข้าไปในโพรงถ้ำแห่งหนึ่ง
“และที่นั่นเองครับ… ผมได้พบกับ ‘มัน’ ในความมืดที่ไร้แสง ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ เงามืดปรากฏขึ้นที่ทางเข้าถ้ำ มันไม่ใช่ชาวบ้าน… แต่มันคือ ‘เงา’ ที่แท้จริง เงาที่บิดเบี้ยว ไร้รูปร่าง สูงใหญ่กว่าเขาถึงสองเท่า และมันก็คืบคลานเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ…”
ทันทีที่นักเขียนพูดถึง “เงา” ห้องประชุมก็เงียบกริบอีกครั้ง ผู้คนจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ลุ้นระทึก
“แต่ในที่สุด…….“ นักเขียนหยุดพูด หายใจแรงแล้วจ้องไปทางผู้ฟังที่รอฟังอย่างใจจดจ่อ
”แต่ในที่สุด……ผมรอดมาได้ครับ ผมรอดมาได้อย่างหวุดหวิด อาจจะด้วยการพบทางลับในถ้ำ หรือการหลอกล่อ ”เงา“ ด้วยวิธีที่ผมก็ไม่สามารถบอกได้…”
เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างกึกก้อง คราวนี้มันเต็มไปด้วยความโล่งอก นักเขียนยิ้มกว้าง ปิดสมุดบันทึกเล่มเก่าที่ใกล้เปื่อยยุ่ยใส่กระเป๋าอย่างถนุถนอม
พลางชูไปมาให้ผู้ฟังในห้องประชุมได้เห็น
“และนั่นแหละครับ คือบทสรุปการเดินทางครั้งนั้นของผม…”
เสียบปรบมือยาวนาน….
เขาโค้งคำนับให้ผู้ฟัง ออกจากโพเดียมกำลังจะก้าวลงจากเวที แต่แล้ว… สายตาของเขาเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด
สายตาที่มองมาหาเขา มีรอยยิ้ม…มีรอยยิ้มที่เขาที่เขาคุ้นเคย… รอยยิ้มแบบเดียวกับชาวบ้านในหมู่บ้านเงาอิง…
แปลกใจ…ชวนฉงน แต่เก็บไว้ในใจ
เขายกสองมือโบกไปทั้งซ้ายและขวาอย่างดีใจที่ได้มีโอกาสถ่ายทอดความรู้สึกกับเหตุการณ์อันตื่นเต้นของชีวิตที่ผ่านมาแล้วอย่างน่ากลัว และจะไม่หวลกลับไปอีกอย่างเด็ดขาด
ประสพการณ์น่าสะพรึงกลัวอย่างนี้ จะได้เป็นเรื่องสั้นระทึกขวัญเล่มใหม่เปิดตัวกันในคราวหน้า
เสียงฮือฮา ดังกระจายห้องประชุม
คนฟังในห้องประชุมลุกจากที่นั่งชูมือโห่ร้องพอใจ
นักเขียนใหญ่โล่งอก เหมือนปลดปล่อยความทุกข์หนักอึ้งออกจากบ่า ถอนหายใจยาว ชูสองมือหันไปรอบ ๆ
คนใกล้เวทีเบียดมาใกล้บันได ยื่นมือจับแสดงความยินดี
หลายคนชงักงัน มองหน้านักเขียนแล้วจ้องเขม็ง…!
ตรงแขน… มีรอยสักหัวกระโหลก….ไม่ผิดเพี้ยนกับที่เขาเล่าบนเวที !