วันพุธ, พฤศจิกายน 19, 2025
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกเรื่องสั้นเรื่องสั้น  “ป่าล่า….วิญญญาณ”

เรื่องสั้น  “ป่าล่า….วิญญญาณ”

เผยแพร่

spot_img

 หนุ่มใหญ่ก้าวระวังฝีเท้าบนพื้นป่าที่ชื้นแฉะและลื่นไหลราวกับพื้นดินมีชีวิต …..!

                                ใบไม้หนาที่ยื่นลงจากต้นไม้สูงใหญ่บดบังแสงแดดยามบ่ายให้เหลือเพียงลำแสงจางๆ ที่สั่นไหวราวเงาผีหลอก เป้สะพายหลังหนักอึ้งกดไหล่เขา เหงื่อไหลลงคอผสมกับความรู้สึกอึดอัดที่แผ่ซ่านโดยไม่มีเหตุผล 

                                เขาหยุดชะงักเมื่อเจอกับลำธารเล็กๆ ที่น้ำไหลช้าๆ ราวกระซิบคำสาป แต่สิ่งที่ทำให้ขนลุกซู่คือหมอกสีขาวขุ่นที่ลอยตัวต่ำเหนือพื้น 

                                มันหมุนวนช้าๆ ราวกับหายใจเข้าออก กลิ่นคาวดินชื้นผสมเลือดเก่าแก่ลอยโชยมา ราวกับหมอกนี้ซ่อนความตายไว้ภายใน

                              “หมอกตอนบ่าย? …

นี่มันอะไรกัน…”

 เขาพึมพำ เสียงตัวเองสั่นโดยไม่ตั้งใจ

                               ตะโกนหาคณะที่เข้าป่าด้วยกันจนคอแหบแห้ง…

                               เสียงของเขาสะท้อนกลับ  และยังมีเสียงประหลาดกึกก้องรอบทิศตามมาสมทบจนน่ากลัว

                               เหลียวมองไปรอบ ๆ ไม่มีใคร….กลับหวีดหวิวจนแสบแก้วหู….แล้วค่อย ๆ หยุดหาย

                               เขารีบหันกลับหมุนรอบตัวหาที่กำบัง กระโดดหลบหลังต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า ใจระทึก

             หรือว่า… เขากำลังเผชิญกับหายนะของป่าที่มีสัตว์ดุร้ายทั้งภูติผีปีศาจจ้าวป่าตามคำร่ำลือ

                                  มือลูบมีดพกประจำตัวที่เอวเพื่อหาความมั่นใจ แต่หัวใจเต้นรัวราวกลองศึก 

                                  ค่อย ๆ ลุกขึ้น มองรอบตัวเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยกลุ่มควัน

                                  ก้าวเข้าไปในหมอกหนาอย่างช้า ๆ 

                                 ความเย็นยะเยือกซึมผ่านผิวหนังราวเข็มน้ำแข็งทิ่มแทงลึกถึงกระดูก ความมืดกลืนกินสายตาเขาในชั่วพริบตา 

                                เสียงกระซิบแปลกๆ ดังในหู ราวเสียงวิญญาณร้องครวญ แล้วทุกอย่างพลิกผัน แสงแดดหายวับ ต้นไม้รอบตัวสูงเสียดฟ้า ใบกว้างราวกรงเล็บยักษ์ที่พร้อมฉีกเนื้อ 

                               เสียงร้องของนกแหลมแปลกประหลาดดังจากที่ไกลๆ ราวคำสาปที่สะท้อนก้อง 

                              เขาหันหลังกลับทันที แต่หมอกหายไปแล้ว มีเพียงป่าที่หิวโหยและมืดมิด 

           นี่ไม่ใช่ป่าที่เขาเคยรู้จัก….!

                              ทันใดนั้น เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดังใกล้เข้ามา รุนแรงราวหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ  

                              เขาหมุนตัว เห็นร่างสามคนในชุดเกราะหนังหยาบ ถือดาบยาวที่ส่องแสงวาววับภายใต้แสงเงามืด 

                             ใบหน้าพวกเขาคร่ำคร่า บิดเบี้ยวราวหน้ากากผีสิง รอยแผลเต็มไปด้วยโคลนและเลือดสดๆ ที่ยังหยดติ๋ง

                            “เจ้ามาทำอะไรในที่ของเรา!” 

                             ชายคนหนึ่งคำราม ด้วยสำเนียงที่เก่าแก่และชวนขนลุก ราวหลุดจากหลุมศพ 

                              ยกมือขึ้น แต่หัวใจเต้นรัวราวจะทะลักอก เขารู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่แค่ป่าธรรมดา แต่มันคืออดีตโบราณนานมากที่หิวกระหายเลือดเหมือนเคยเห็นในจอภาพยนต์

                             เขายืนนิ่ง หัวใจเต้นรัวราวถูกบีบเค้นขณะจ้องสามนักรบในชุดเกราะหนังหยาบที่ชุ่มเลือดเก่า ใบดาบในมือพวกเขาสะท้อนแสงเงามืดราวฟันเขี้ยวที่หิวโหย 

                              คนยืนหน้า..ยื่นปลายดาบมาทางเขาต้องถอยกรูดจนล้ม….

            ใบมีดดดาบพลิกกลับไปมากระทบแสงวาววับ สว่างวาบน่ากลัว

                             ดวงตาของชายหน้าแดงก่ำด้วยความดุร้าย

            “เจ้ามิใช่คนของเรา! เจ้าคือปีศาจ!” 

                             เสียงคำราม สำเนียงเก่าแก่แต่แหลมคมราวมีดกรีดกระดูก 

              เขายกมือทั้งสองขึ้นเหนือหัวคารวะด้วยความกลัว

                           “ผมแค่หลงทาง!” 

              แต่คำพูดของเขายั่วโทสะ ชายคนหนึ่งยื่นดาบพุ่งมา รวดเร็วเหมือนจักรผัน ดาบสลักลายหัวกระโหลกกระทบแสงใกล้ใบหน้า  แล้วเหวี่ยงลงด้วยแรงมหาศาล  

              เขาหลบวูบลงพื้น โคลนกระเด็นเปื้อนหน้า กลิ่นคาวเลือดผสมดินชื้นทำให้คลื่นไส้

                            เขาดึงมีดพกประจำตัวติดเอวมาถือ แต่มันเล็กจิ๋วราวของเล่นเมื่อเทียบกับดาบยาวที่ฟันซ้ำลงมาอีกครั้ง   กลิ้งตัวหลบ การโจมตีครั้งที่สองกรีดเสื้อเขาและท้องแขนเป็นแผลยาว เลือดกระเซ็นแล้วพุ่งออกมา  สะดุดล้มใกล้กองไฟร้าง

                            นักรบโบราณอีกคนกระโจนเข้ามา ดาบในมือฟันลงรุนแรงด้วยความโหดเหี้ยม แล้วพลาดสะดุดรากไม้ ดาบหลุดจากมือนักรบกระเด็นลงพื้น 

                            เขาไม่รอช้า รีบคว้ามันด้วยสัญชาตญาณ ใบดาบสลักลายวิจิตรและภาพหัวกระโหลก คมกริบราวเพิ่งหลอม     เขายกมันป้องกันจากนักรบอีกคนที่ย่องมาด้านหลัง  โลหะกระทบกันดังสนั่น ประกายไฟกระเด็นราวดวงตาผี

                           คราวนี้  สองมือเขายกดาบหนักอึ้ง ตอบโต้ด้วยแรงสิ้นหวัง 

                          แต่..มันเหมือนปาฏิหาริย์ นักรบล้มลงครวญคราง เลือดพุ่งกระเซ็นเปื้อนหน้าเขา

                        “จับมัน! ปีศาจต้องตาย!”   

เสียงดันมาจากหัวหน้านักรบโบราณ

                          อีกสองคนคำรามราวสัตว์ป่า ถอยหลังชั่วครู่แต่ไม่ยอมแพ้ พวกมันไล่ตาม เขาวิ่งสุดแรงฝ่าพุ่มไม้หนาที่ยื่นขวางราวกรงเล็บที่ฉีกเนื้อเขาทุกย่างก้าว

                          เสียงดาบฟันอากาศดังวี๊ดใกล้หู รากไม้ทำให้เขาล้มกลิ้งลงเนิน เลือดและเหงื่อไหลเข้าตา จนพร่ามัว ป่ากลืนกินทุกอย่างราวปากยักษ์ 

                          นักรบโบราณหลายคนชูดาบคมวาว วิ่งไล่ตามฝ่าดงต้นไม้ครึ้มหนามาเป็นสาย

                          เขาวิ่งไปข้างหน้าอย่างไร้ทิศทางเพียงให้พ้นการติดตาม

                          ปวดร้าวบาดแผลที่แขนและแผ่นหลัง

                เสียบเท้าย่ำไปพื้น เสียงร้องไล่ติดตามเข้ามาใกล้

                         แต่แล้วหมอกขุ่นปรากฏขึ้นอีกครั้ง ลอยต่ำราวคำเชิญสู่ความตาย กระโจนฝ่ามันไป ความเย็นทิ่มแทงร่างกายเขาราวถูกฉีกเป็นเสี่ยง ก่อนที่โลกจะพลิกกลับ

                       เสียงร้องกึกก้องเมื่อสักพักลดน้อยถอยไปจนเหมือนเสียงแว่วที่อยู่ไกลห่าง

                       เขาหยุดกลางป่าโปร่ง  ความกลัวยังเกาะกินล้ำลึกขยับตัวเดินไร้ทิศทางด้วยความปวดร้าว   เหลียวซ้ายแลขวาเห็นป่าที่คุ้นเคยอยู่รอบข้าง 

                       ทันใดสดุดรากไม้ล้มลง เพิ่มความเจ็บปวด

                       ชันกายจะลุกขึ้นกลับล้มลงเหยียดยาวราวป่าอีกครั้งด้วยความเจ็บปวด

                       สดุ้งสุดตัวเมื่อนึกถึงหน้านักรบโบราณที่บัดนี้อันตรธานไปหมดแล้ว

                       แสงแดดยามบ่ายส่องผ่านใบไม้ธรรมดา แต่ร่างกายของเขายังสั่นสะท้าน เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง โคลนและเลือดเปรอะเต็มตัว 

                       รอยแผลจากใบไม้และการต่อสู้ปวดแสบราวถูกกรีดซ้ำ ลมหายใจร้อนผ่าวจนปอดแทบฉีก ภาพของป่าที่ยิ่งใหญ่เกินจริงยังติดตา ใบไม้ราวกรงเล็บ เสียงคำรามจากเงามืด

                      ทันใดนั้น หมอกขุ่นปรากฏขึ้นอีกครั้ง ลอยต่ำราวมีชีวิต  เขาคิดอย่กกระโจนฝ่ามันไป ความเย็นฉับพลันซัดร่างเขาเหมือนตกน้ำแข็ง 

                        มีแสงสว่างวูบวาบและปดคลุมด้วยหมอกหนาจนต้องหลับตา  เสียงดังกึกก้องเหมือนฟ้าคำราม

                        เสียงผ่อนลง หมอกจางลง

                       เขาลืมตาเห็นป่าที่คุ้นเคย  ดีใจสุดขีด   อยากวิ่งออกไปอย่างไร้จุดหมาย แม้ร่างกายยังเจ็บปวดราวถูกฉีกทิ้ง จนล้มลงนอนหอบข้างลำธาร ใบหน้าซีดเผือด หมดแรง สติจางลง ความมืดกลืนกินทุกอย่าง

                       สามวันผ่านไป  ทั้งคณะนักเดินป่า  ชาวบ้านนับสิบ ทีมกู้ภัย และคนจากหมู่บ้านใกล้เคียงบุกป่าเพื่อตามหาเขา แสงไฟฉายสาดส่องในยามค่ำ 

                       เขานอนหมดสติใกล้ลำธาร ใบหน้าเต็มไปด้วยโคลนและรอยขีดข่วน เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งราวผ่านศึกสงคราม รอยฟกช้ำและเลือดแห้งกรังบนร่าง

                     “ แกยังมีชีวิต!” 

หัวหน้าทีมกู้ภัยตะโกน  เขาค่อย ๆ ขยับตัว เผยอเปลอกตา สายตาพลันหวาดกลัวราวเห็นผี  ขยับจะหนีเหมือนนักรบกำลังจะติดตามมาอีก

                    “เกิดอะไรขึ้น..แกหายไปไหนมา?”

 ชายชราจากหมู่บ้านหน้าตาตื่นตระหนก

                      เขาหอบหายใจด้วยความเจ็บปวด เสียงสั่นเครือ เหมือนนึกถึงความหลัง

                    “ผม… ผมหลุดไปยุคโบราณที่เขายังฟันดาบกันอยู่

ต้องสู้กับนักรบ กว่าจะหนีรอดมาได้“

                            เสียงหัวเราะดังระงม ทั้งเมินหน้าเหมือนระอาเต็มที

                  “ยุคโบราณ ?”

                          “ยุคดาบหรือ …แกเพ้ออะไร!” 

             “ป่านี้ มีแต่เสือที่คร่าวิญญาณ“

                          “มันอาจกลัวจนเสียสติ”

             “มันเป็นใข้ป่า เร็วเข้า ส่งโรงหมอ”

หลายคนกุลีกุจอเข้ามา แล้วช้อนร่างที่เปื้อนโคลนและเลือดเปรอะเปื้อนทั้งเสื้อผ้าและร่างกาย

                     เลือดยังซืมจนไหลย้อยจากแผลที่แขน

                     ร่างเคราะห์ร้ายกรอกตาไปมาอยากพูดก่อนสลบ   เหมือด เสียงเล็ดรอดโอดโอยเมื่อจับตัวเขยื้อน

                    หลายคนช่วยกันพลิกตัวกลับ   เลือดเกรอะกรังแขน

แล้วต่างชงักถอยกรูด

                   เบิ่งตาโตจ้องมือเขายังกำดาบเหล็กโบราณลวดลายหัวกะโหลก..!

ข่าวล่าสุด

อธิบายคดีขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่นที่ศาลฎีกาสั่งทักษิณ ชินวัตรจ่าย 1.76หมื่นล้านบาท

เดิมกรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา บุตร-ธิดานายทักษิณ 17,600 ล้านบาทเศษ จากผลประโยชน์จากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นให้กองทุนเทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์ แต่บุคคลทั้งสองต่อสู้ว่าผู้ต้องเสียภาษีที่แท้จริงคือนายทักษิณ เพราะเป็นเจ้าของหุ้นและผลประโยชน์ที่แท้จริง

การทูตอวยฉ่ำในยุคทรัมป์ 2.0

คงไม่มีการทูตยุคไหนที่ใช้การอวยเป็นอาวุธ อวยเป็นยุทธวิธี และอวยเป็นมหกรรมเท่ายุคทรัมป์ 2.0 ที่เห็นชัดเจนคือที่ผู้นำหลายต่อหลายประเทศได้เรียงหน้าเสนอชื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพกันเป็นว่าเล่น

ด่วน! ศาลฎีกาตัดสิน“ทักษิณ”แพ้คดีหุ้นชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้านบาท

ศาลฎีกามีคำพิพากษา กลับคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่าการประเมินภาษีของกรมสรรพากรในกรณีการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นการดำเนินการโดยชอบตามกฎหมาย

 วิกฤตศรัทธา! ตำรวจ “แฉ” กันยับ!

สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตความน่าเชื่อถือครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อตำรวจระดับสูงต่างฝ่ายต่างเปิดโปงการทุจริตและการรับผลประโยชน์จากเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ แก๊งสแกมเมอร์ และเว็บพนันออนไลน์

ข่าวอื่นๆ

เรื่องสั้น “ภรรยาผู้ภักดี”

มีชายคนหนึ่งทำงานมาตลอดชีวิต...  อดออมเงินทุกบาททุกสตางค์  และเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมากเกี่ยวกับเรื่องเงินทอง  ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต....  เขาบอกกับภรรยาว่า “ที่รัก… ตอนฉันตาย ฉันอยากให้เธอเอาเงินทั้งหมดของฉัน ใส่ลงไปในโลงศพด้วย ฉันอยากเอาเงินของฉันไปใช้ในปรโลก” และเขาก็ทำให้ภรรยาสัญญากับเขา ด้วยหัวใจทั้งหมดของเธอว่า  เมื่อเขาตาย เธอจะเอาเงินทั้งหมดใส่ลงไปในโลงกับเขาจริงๆ ในที่สุดเขาก็เสียชีวิต...  เขานอนอยู่ในโลงอย่างสงบ ภรรยาของเขานั่งอยู่ข้างๆ ในชุดดำสนิท  ข้างๆ กันมีเพื่อนสาวของเธอนั่งอยู่ด้วย เมื่อพิธีศพดำเนินมาจนใกล้เสร็จ....  และก่อนที่เจ้าหน้าที่จะปิดฝาโลง  ภรรยาพูดขึ้นว่า...  “เดี๋ยวก่อนค่ะ!”  แล้วเธอก็เดินถือกล่องโลหะใบเล็กๆ ไปวางลงในโลง  ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะปิดฝาโลงและนำโลงศพไป เพื่อนของเธอหันมาพูดด้วยความตกใจว่า... “เธอจะไม่บอกฉันนะ  ว่าเธอโง่พอจะใส่เงินทั้งหมดไปในโลงกับเขาจริงๆ น่ะ?” ภรรยาผู้จงรักภักดีตอบว่า... “ฟังนะ...  ฉันให้สัญญากับเขาไว้แล้ว ฉันจะผิดคำพูดไม่ได้  ฉันสัญญากับเขาว่าจะเอาเงินทั้งหมดใส่ลงไปในโลงด้วยจริงๆ” “หมายความว่าเธอเอาเงินทั้งหมดใส่ไปให้เขาจริงๆ น่ะเหรอ?” ภรรยาตอบกลับอย่างเรียบเฉยว่า... “ใช่สิ...  ฉันรวบรวมเงินทั้งหมด โอนเข้าบัญชีของฉัน...

เพื่อนบ้านเลว ?

ในสมัยโบราณของจีน ชาวนาคนหนึ่ง มีเพื่อนบ้านเป็นนายพราน และเลี้ยงสุนัขล่าสัตว์ที่ดุร้าย และ ถูกฝึกมาอย่างดี สุนัขเหล่านี้มักจะกระโดดข้ามรั้ว และไล่ตามฝูงแกะของชาวนา ชาวนาขอร้องให้เพื่อนบ้าน ควบคุมสุนัขของเขา แต่เรื่องนี้ถูกเพิกเฉย

 เรื่องราวสวยงามที่อยากแบ่งปัน…

เรื่องสั้น..ขอให้เรื่องนี้ได้ส่งต่อถึงหัวใจของใครอีกหลายคน ฉันชื่อ เวโรนิก้า อายุ 80 ปี อยู่คนเดียวในอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ชั้นบนของร้านขายอุปกรณ์ช่างในไบรตัน ฉันไม่มีอะไรมาก แต่ก็อยู่ได้ มีเงินบำนาญนิดหน่อย เงินเก็บเล็ก ๆ กับสวนกระถางบนระเบียง สะระแหน่ ไธม์ และต้นมะเขือเทศจอมดื้อหนึ่งต้น