จากรายงานของกองทัพภาคที่ 2 เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 พบว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ย้ายรถถังเข้าตั้งฐานยิงตรงข้ามช่องตาเฒ่า ห่างฝั่งไทยราว 300 เมตร พร้อมกับใช้อาวุธเบาและระเบิดยั่วยุในยามค่ำคืนริมแนวรั้วลวดหนาม จ.สุรินทร์ ฝ่ายไทยแม้ไม่มีการตอบโต้ แต่ย้ำว่าเป็นการกระทำที่ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการแก้ไขข้อพิพาทชายแดน
จากข้อเท็จจริงดับต่อไปนี้
1. การเสริมกำลัง-เคลื่อนย้ายอาวุธหนักสร้างแรงกดดัน
แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิงร่วมกัน แต่ข้อที่ 3 ของ “ข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ” ระบุอย่างชัดเจนว่า “ห้ามเพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดน” และข้อ 4 ห้าม “จัดกิจกรรมทางทหารในพื้นที่พิพาท หรือใกล้ที่ตั้งของอีกฝ่าย” ทั้งนี้ รายงานระบุว่า ฝ่ายกัมพูชานำรถถัง 1 คันเข้าตั้งยิงบริเวณช่องตาเฒ่า ห่างฝั่งไทยเพียง 300 เมตร ซึ่งชี้ชัดถึงการละเมิดข้อตกลง หรือละเมิดเจตนารมณ์ของการสร้างบรรยากาศที่ไม่ตึงเครียด
การเคลื่อนย้ายอาวุธหนักเช่นรถถังเข้าพื้นที่แนวหน้า ถือว่าสร้าง “ความได้เปรียบเชิงยุทธวิธี” และเป็นสัญลักษณ์การแสดงอำนาจ (power projection) ที่อาจบีบให้ฝ่ายไทยต้องเผชิญกับ “ตัวเลือกตอบโต้” ทั้งด้านการทหารและการเมือง
2. ยุทธวิธียั่วยุในยามค่ำคืน ยิงปืน ขว้างระเบิด เกาะแนวรั้ว
จากรายงานระบุว่าคืนวันที่ 24 กันยายน ในเวลา 20.50 น. ได้มีการยิงปืนเล็ก 3 นัดเข้ามาระยะ 150 เมตร พร้อมตรวจพบแสงไฟ 5 จุด บริเวณแนวรั้วลวดหนาม ตลอดจนเวลา และเวลา 02.50 น. ได้ยินเสียงระเบิดขว้างใกล้จุดตรวจสามแยก ต. ตาเมียง
การปฏิบัติดังกล่าวแสดงลักษณะของ “การทดลองแนวรับ” หรือ “การแหย่ให้ตอบโต้” หากฝ่ายไทยตอบโต้ ก็อาจถูกมองว่าเป็นฝ่ายเริ่มละเมิด ทั้งนี้ ข้อตกลงหยุดยิงกำหนดไว้ว่าหากเกิดเหตุ “โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ” ทั้งสองฝ่ายต้องนำเรื่องเข้าสู่กลไกทวิภาคีเพื่อแก้ไข
ยิ่งไปกว่านั้น หากมีพลเรือนกัมพูชามาอยู่ใกล้แนวรั้ว ก็มีโอกาสถูกใช้เป็น “โล่” หรือสะพานป้องกันทางการเมือง หากเกิดการตอบโต้จากฝั่งไทย
3. การใช้สื่อออนไลน์และข้อกล่าวหาที่ไร้หลักฐาน นับเป็นกลยุทธ์ทางข้อมูล ด้วยเหตุกัมพูชาเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนกล่าวหาว่า “ไทยโจมตีพลเรือนกัมพูชา” สื่อกัมพูชาอย่าง Khmer Times รายงานว่า กองทัพไทยโจมตีกลุ่มพลเรือนในหลายพื้นที่ ซึ่งกระตุ้นความตึงเครียดและความรู้สึกต่อต้านไทยในระดับสาธารณะ
ต่อมาฝ่ายกัมพูชาโต้ตอบว่าไม่ได้เริ่มยั่วยุหรือละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และเรียกร้องให้ไทยชี้แจงต่อองค์การสหประชาชาติ และลดกำลังทหารชายแดน
กลยุทธ์เช่นนี้เป็นอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาจริงจัง เพราะมัน “เบลอเส้นแบ่ง” ระหว่างข้อเท็จจริงทางทหารกับการบดบังข้อมูลในระดับสาธารณะ ทำให้การสร้างความชอบธรรมบนเวทีระหว่างประเทศกลายเป็นโจทย์ที่ซับซ้อน
4 อุปสรรคต่อกลไกแก้ปัญหาระดับทวิภาคี ทั้ง RBC / GBC ถูกทดสอบหนัก
ไทยและกัมพูชาได้ตกลงกลไกทวิภาคีไว้หลายรูปแบบ ได้แก่ GBC (คณะกรรมการชายแดนทั่วไป) และ RBC (คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค) ตาม “ความตกลงชายแดนไทย–กัมพูชา” ที่ลงนามตั้งแต่ปี 2538
ที่ประชุม GBC สมัยพิเศษเมื่อ 9 กันยายน 2568 ได้เห็นชอบ 5 ข้อ เช่น ถอนอาวุธหนักออกจากชายแดนและเก็บกู้ทุ่นระเบิด แต่การละเมิดล่าสุดขัดกับเป้าหมายเหล่านั้น
ในฝั่ง RBC เมื่อเดือนสิงหาคม มีการแถลง 11 ข้อ ย้ำให้ไม่มีการยั่วยุจากฝ่ายทหารและพลเรือน แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิด ก็จะทำให้ความไว้วางใจพังทลาย และกลไกสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเจรจาจะถูกทิ้งไว้เฉย ๆ
เมื่อกลไกระดับทวิภาคีถูกทดสอบเช่นนี้ การเปิดเวทีระหว่างประเทศ เช่น UNGA หรือชี้แจงต่อองค์กรระหว่างประเทศ อาจกลายเป็นทางเลือกที่ฝั่งไทยต้องใช้ในการธำรงจุดยืนในแง่สิทธินานาชาติ
นับจากนี้ไป ไทยจะต้องพบกับปัญหาและอุปสรรคจากการที่เพื่อนบ้านเกเรคนนี้ยังมีพฤติการณ์ที่น่ารังเกียจในสังคมนานาประเทศ โดยจะต้องใช้ความรอบคอบในทุกมิติอย่างระมัดระวัง



