ก่อนถึงวันลงสนามเลือกตั้ง
วิจารณ์กันทั่วว่าพลังดูดที่ไม่เคยแผ่ว ภูมิใจไทยสร้างอาณาจักร ส.ส. ก่อนเลือกตั้ง
ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่ยังไร้ความชัดเจนเรื่องการยุบสภา แต่พรรคภูมิใจไทย ได้สร้างปรากฏการณ์ เป็น”ภูมิใจดูด” จนกลายเป็นศูนย์รวมของนักการเมืองที่แสวงหาหลักประกันความอยู่รอดทางการเมืองอย่างเป็นทางการ
การเคลื่อนย้ายของ ส.ส. “บ้านใหญ่” จากพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลเดิม เช่น รวมไทยสร้างชาติ เข้าสู่ชายคาพรรคสีน้ำเงินอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า สนามเลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่ใช่แค่การแข่งขันทางอุดมการณ์ แต่เป็นการวัดพลัง “ทุน” และ “ฐานเขต” ที่พรรคภูมิใจไทยได้สะสมไว้ ทำให้พรรคคู่แข่งสำคัญอย่างเพื่อไทยต้องเผชิญกับภาวะ “เลือดไหลออก” ในพื้นที่ฐานเสียงสำคัญ
ตามแกะรอยปัจจัยเร่ง ของการเมืองแห่งความอยู่รอดเหนืออุดมการณ์ดังกล่าวนั้น
การไหลทะลักของนักการเมืองเข้าสู่ภูมิใจไทยไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากปัจจัยที่นักวิเคราะห์เรียกว่า “การเมืองแห่งความอยู่รอด” หรือ “Survival Politics”
พรรคภูมิใจไทยถูกมองว่าเป็นพรรคที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำงานร่วมกับทุกขั้วอำนาจ และมีนโยบายที่เน้นการพัฒนาเชิงพื้นที่ ทำให้เข้าถึงความต้องการของ ส.ส. เขตที่ต้องดูแลฐานเสียงของตนเองได้อย่างแท้จริง
การตัดสินใจทิ้งอุดมการณ์เดิม เพื่อไปพึ่งพา “ความมั่นคง” ของพรรคที่ดูดซับอำนาจได้อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนเชิงโครงสร้างของระบบพรรคการเมืองไทยที่ยังคงผูกติดอยู่กับตัวบุคคลและกระเป๋าสตางค์ของกลุ่มทุนมากกว่าหลักการ
ปรากฏการณ์ “ดูด ส.ส.” นี้กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของสมการอำนาจทางการเมืองไปอย่างสิ้นเชิง หากภูมิใจไทยสามารถรวบรวม ส.ส. เขตได้อย่างที่คาดการณ์ไว้ พรรคจะกลายเป็น “Kingmaker” หรืออาจก้าวขึ้นเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้เอง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อพรรคเพื่อไทยที่ฐานเสียงถูกเจาะ และพรรคก้าวไกล หรือพรรคประชาชน ที่อาจถูกจำกัดบทบาทในการสร้างพันธมิตรหลังเลือกตั้ง
การที่ ส.ส. เลือกย้ายค่ายแสดงถึงความเชื่อมั่นว่าอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาลกำลังเอนเอียงไปยังทิศทางของพรรคภูมิใจไทย ทำให้การแข่งขันเลือกตั้งครั้งหน้าจะเข้มข้นขึ้นในเชิงพื้นที่ โดยมีผลประโยชน์และอำนาจเป็นเดิมพันสูงสุด
ในระบบการเมืองที่ถูกกำกับด้วยรัฐธรรมนูญและกฎเกณฑ์ที่เอื้อต่อการเปลี่ยนใจง่ายๆ นักการเมืองจึงไม่ต่างจาก สินค้าที่สามารถย้ายตู้โชว์ไปอยู่ร้านใหม่ที่ให้ราคาสูงกว่าเสมอ และพรรคที่กำลับร้อนแรงนี้ ก็ทำหน้าที่เป็น “ห้างสรรพสินค้า” ที่มีกำลังซื้อไม่จำกัด
ในห้วงยามที่ประเทศกำลังรอคอยความมั่นคงและทิศทางที่ชัดเจนจากนักการเมือง ปรากฏการณ์ “ภูมิใจดูด” จึงเป็นภาพสะท้อนอันเจ็บปวดว่า “อุดมการณ์” ได้กลายเป็นเพียงของประดับฉาก
การย้ายสังกัดคือการแสวงหา “ที่พึ่งพิง” ที่มั่นคงกว่า เป็นหลักประกันความอยู่รอดทางการเมือง
แต่ทว่าในสายตาของประชาชน นี่คือการย้ำเตือนอย่างเข้มข้นว่า “ความภักดีต่อโอกาส” มักอยู่เหนือ “ความภักดีต่อหลักการ“ เสมอ ต้นทุนเดียวที่นักการเมืองเหล่านี้ละทิ้งไว้เบื้องหลัง คือ ความเชื่อมั่นที่ประชาชนเคยฝากไว้ในหีบบัตรเลือกตั้ง ซึ่งเป็นต้นทุนที่ประเมินค่าไม่ได้เลย