ทั้งที่นานาชาติยื่นหลักฐานคาตา เมื่อเงินแสนล้านถูกยึด และความ “ร่อแร่” ทางการเมืองกลายเป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
การประกาศมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหญ่จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรต่อเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ “ศูนย์หลอกลวงออนไลน์” ในกัมพูชา ได้ตอกย้ำถึงสถานะของประเทศนี้ในฐานะศูนย์กลางแก๊งมิจฉาชีพและการค้ามนุษย์รูปแบบใหม่ที่ร้ายแรงที่สุดในโลก
มาตรการดังกล่าวได้ระบุชื่อและยึดทรัพย์สินของนายเฉิน จื้อ มหาเศรษฐีชาวกัมพูชา-จีน และเครือข่าย Prince Group ที่มีมูลค่าสูงถึง 5 แสนล้านบาท (บิตคอยน์ราว 15,000 ล้านดอลลาร์) ซึ่งนับเป็นการยึดทรัพย์ครั้งประวัติศาสตร์ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ หลักฐานที่ผูกโยงมหาเศรษฐีรายนี้กับชนชั้นนำและอดีตผู้นำระดับสูงของกัมพูชาทำให้ความพยายามในการ “ปฏิเสธ” หรือ “โยนความผิด” ให้เป็นเรื่องของชาติอื่น
จากรัฐบาลพนมเปญกลายเป็นเรื่องที่ขาดความน่าเชื่อถืออย่างสิ้นเชิง และสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อประชาคมโลกที่กำลังเผชิญกับความเสียหายทางเศรษฐกิจและความมั่นคง
สุดสัปดาห์นี้ มีรายงานว่าเกาหลีใต้เคยเสนอให้มีการใช้กำลังทหารเข้าจัดการเพื่อช่วยพลเมืองของตน
ในขณะที่กัมพูชาเลือกใช้ท่าทีปฏิเสธและปกป้องกลุ่มผู้มีอิทธิพลอย่างแข็งกร้าว
ประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านที่ได้รับผลกระทบโดยตรงได้แสดงความมุ่งมั่นในการจัดการปัญหาอาชญากรรมออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ได้ลงนามจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยนั่งเป็นประธานด้วยตนเองและมีหลายรัฐมนตรีว่าการกระทรวง รวมทั้งหน่วยงานความมั่นคง
เข้ามาร่วมบูรณาการอย่างเต็มรูปแบบเป็นศูนย์ปราบปรามใหญ่ของประเทศ
คณะกรรมการชุดนี้มีเป้าหมายในการกำหนดนโยบาย มาตรการ และแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อ “ล้างบาง” อาชญากรรมและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าไทยจะไม่ยอมให้พื้นที่ของตนกลายเป็นฐานหรือทางผ่านของเงินสกปรกอีกต่อไป
การดำเนินการเชิงรุกของนานาประเทศและประเทศไทยเป็นการส่งแรงกดดันมหาศาลต่อรัฐบาลกัมพูชาให้ต้องเลือกข้างอย่างเด็ดขาด เนื่องจากแกนกลางของปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวสแกมเมอร์เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเพิกเฉยหรือการอำนวยความสะดวกอย่างลับ ๆ ของกลุ่มอำนาจในประเทศที่ได้รับผลประโยชน์จากธุรกิจสีเทาเหล่านี้
การที่สหรัฐฯ และอังกฤษสามารถยึดทรัพย์สินในต่างประเทศและตัดท่อน้ำเลี้ยงทางการเงินได้ เป็นการทำลายวงจรฟอกเงินของกลุ่ม Prince Group ที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการค้ามนุษย์และการหลอกลวงเหยื่อทั่วโลก การดำเนินการนี้ไม่เพียงแต่จัดการกับอาชญากร แต่ยังเป็นการท้าทายความโปร่งใสและธรรมาภิบาลของระบบการเมืองกัมพูชาโดยตรง ซึ่งการปฏิเสธของพนมเปญมีแต่จะเพิ่มความโดดเดี่ยวทางการทูตและเร่งให้สถานการณ์ความน่าเชื่อถือของประเทศในเวทีโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤต
แม้รัฐบาลกัมพูชาจะยังคงปฏิเสธหลักฐานที่กองท่วมหัวอย่างไม่ยี่หระ แต่การคว่ำบาตรระดับโลก การยึดทรัพย์สินครั้งประวัติศาสตร์ และการเตรียมความพร้อมอย่างเข้มข้นของประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย ล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่ายุคแห่งการ “ลอยตัว” และรับผลประโยชน์จากอาชญากรรมข้ามชาติกำลังจะสิ้นสุดลง การตัดสินใจที่ไม่ยอมรับความผิดและโยนความผิดให้ชาติอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้สถานะระหว่างประเทศของกัมพูชาถูกประณามจนโอนเอนไปมา และความกังวลว่าประเทศจะ “ร่อแร่” หรือไม่นั้น จึงไม่ใช่ประเด็นหลักอีกต่อไป เพราะพฤติการณ์ที่ผ่านมาได้ทำให้ความน่าเชื่อถือและสถานะของประเทศสั่นคลอนและ “ร่อแร่” จนแทบจะยืนด้วยลำแข้งตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว