สัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม 2568 กำลังเป็นช่วงเวลาที่การเมืองไทยเข้าสู่จุดพีคสูงสุดในรอบปี คดีที่ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงประเด็นทางกฎหมายทั่วไป แต่เป็น “คดีการเมือง” ที่มีผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและอนาคตของพรรคแกนนำอย่างพรรคเพื่อไทย
ผลคำวินิจฉัยของตุลาการทั้ง 9 ท่านในวันนั้น จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการเมืองของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าของรัฐบาลชุดปัจจุบัน หรือการเข้าสู่โหมดการเมืองใหม่ที่อาจนำไปสู่การยุบสภาและเลือกตั้งอีกครั้ง
หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั่นย่อมหมายถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เพิ่งเข้าบริหารประเทศได้ไม่นานต้องเผชิญกับคลื่นลมทางการเมืองระลอกใหม่ทันที โดยมีทางเลือกหลักคือการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่จากบัญชีรายชื่อที่เหลืออยู่ ซึ่งถูกคาดการณ์ว่าจะสร้างแรงกดดันและสมการการเมืองที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน นโยบายสำคัญที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ อาจต้องหยุดชะงัก หรือต้องถูกนำไปพิจารณาใหม่โดยรัฐบาลชั่วคราวหรือรัฐบาลชุดถัดไป สถานการณ์นี้จะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการปกติ แต่ความปั่นป่วนในตลาดการเงินและบรรยากาศทางเศรษฐกิจถือเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้
ในทางกลับกัน หากศาลมีคำวินิจฉัยให้ นางสาวแพทองธาร สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้ ย่อมส่งผลให้รัฐบาลมีแรงส่งทางการเมืองกลับคืนมา และสามารถเดินหน้านโยบายหลักที่ค้างคาได้อย่างเต็มที่ เช่น นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต หรือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เผชิญอยู่
อย่างไรก็ตาม แม้จะรอดพ้นจากวิกฤตนี้ แต่รัฐบาลยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากแรงเสียดทานทางการเมืองอื่นๆ ที่รออยู่ อาทิ ผลการพิจารณาของศาลกรณีชั้น 14 ของนายทักษิณ ชืนวัตร การพิจารณางบประมาณประจำปี และแรงกดดันจากการชุมนุมประท้วงที่กำลังจะเกิดขึ้น
แน่นอนว่า การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดีนี้จะเป็นบททดสอบสำคัญของสถาบันตุลาการในสายตาของสาธารณะอีกครั้ง โดยผลลัพธ์ที่ออกมาจะถูกนำไปเป็นบรรทัดฐานสำหรับคดีทางการเมืองในอนาคตต่อไป