แม้รัฐบาลจะยังยืนยันว่าทุกอย่างเป็น “ไปตามกระบวนการ” แต่ความเงียบในห้องประชุมสภาฯ และเอกสารลับที่หลุดออกมา กลับดังกว่าคำชี้แจงใด ๆ และสะท้อนว่า เสถียรภาพของรัฐบาลอาจไม่ได้ถูกคุกคามจากฝ่ายค้าน หากแต่มาจากแรงสั่นสะเทือนภายในตัวเอง
คดี “ฮั้ว ส.ว.” กลายเป็นบททดสอบศรัทธาของประชาชนต่อระบบการเมืองไทยอีกครั้ง หลังคณะกรรมการไต่สวนฯ มีมติส่งเรื่องให้ กกต. ดำเนินการต่อ โดยมีเวลาเพียง 90 วันก่อนเข้าสู่การชี้ขาดขั้นสุดท้าย หลักฐานที่ถูกเปิดเผย ตั้งแต่โพยรายชื่อผู้ได้รับเลือกที่ตรงกับผลจริง ไปจนถึงเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงถึงเครือข่าย 229 รายชื่อ ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงความเป็นระบบในกระบวนการ “จัดตั้ง” ส.ว. หากแต่สะท้อนถึงการแทรกซึมของพรรคการเมืองในพื้นที่ที่ควรเป็นอิสระ ซึ่งกระแสข่าวมีพรรคภูมิใจไทยถูกจับตามากที่สุดในฐานะแกนนำรัฐบาล
การอภิปรายในสภาฯ เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้คดีนี้ปะทุอีกครั้ง ฝ่ายค้านนำ “เอกสารแจ้งข้อกล่าวหา” มาเปิดเผยกลางสภา พร้อมระบุชื่อบุคคลระดับสูงในรัฐบาลว่าเกี่ยวข้องกับเครือข่ายการฮั้ว ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลโต้กลับว่าฝ่ายค้าน “ต้องการเวลาออกทีวีมากกว่าความจริง” แต่สิ่งที่ตามมาคือความไม่ไว้วางใจทั้งในสภาและนอกสภา เมื่อเลขาธิการ กกต. ต้องสั่งสอบภายในถึงการรั่วของเอกสารลับเอง ความพยายามป้องกันความเสียหายทางภาพลักษณ์จึงยิ่งกลายเป็นการยอมรับโดยปริยายว่า “รอยร้าวมีอยู่จริง”
ผลลัพธ์ทางการเมืองของคดีนี้อาจแยกเป็นสองเส้นทางชัดเจน
ประการแรก หาก กกต. และศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ามีหลักฐานเพียงพอในการเชื่อมโยงไปถึงคณะกรรมการบริหารพรรค อาจนำไปสู่การยุบพรรคและการตัดสิทธิ์ทางการเมืองของแกนนำ ซึ่งจะเป็นแรงกระเพื่อมใหญ่ต่อรัฐบาลปัจจุบัน
ประการที่สอง หากกระบวนการยืดเยื้อออกไปจนกระแสสังคมจาง คดีอาจจบแบบ “มวยล้มต้มคนดู” ด้วยการลงโทษเฉพาะรายบุคคล และปล่อยให้ระบบการเมืองไทยเดินต่อไปด้วยความปวดร้าวแบบเงียบ ๆ
ในขณะที่นักการเมืองบางคนยังยืนกรานว่า “ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เกี่ยว” กับเส้นทางเงินที่ซับซ้อนเหมือนเขาวงกต คดีนี้กำลังเผยให้เห็นการเมืองไทยในมิติที่ขมขื่น การฮั้ว ส.ว. ไม่ได้เป็นเพียงการซื้อเสียง แต่คือการซื้อ “กลไกคุ้มกัน” เพื่อประกันอำนาจของตัวเอง
ฃ
หากมองให้ลึก มันคือการทำประกันภัยทางการเมืองชั้นหนึ่ง เพียงแต่ตอนนี้กรมธรรม์กำลังถูกเพิกถอน เพราะผู้ถือประกันดัน “จุดไฟเผาบ้านตัวเอง” เพื่อหวังเคลม