ทั้ง อ.ปาย อ.เกาะสมุย และเกาะพะงัน หากรัฐยังละสายตา ปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม และความขัดแย้งเชิงพื้นที่จะบานปลายเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด
การเข้ามาของชุมชนอิสราเอลในไทยไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ท่องเที่ยวหรือการลงทุนทั่วไป แต่เป็นการตั้งชุมชนขนาดใหญ่ พร้อมศูนย์รวมทางศาสนา เช่น ชาบัดหรือโบสถ์ยิว และบางครั้งใช้กลไกทางกฎหมายอย่าง “นอมินี” เพื่อเลี่ยงข้อจำกัดการถือครองที่ดินและประกอบธุรกิจ การกระทำเช่นนี้สร้างแรงกดดันต่ออำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ การผูกขาดทางธุรกิจในชุมชนปิดและความแยกตัวจากสังคมไทย อาจกัดกร่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น แย่งอาชีพ และก่อให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรม หากไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง ปัญหาจะซ้ำรอยอย่างที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนต่างชาติ
บทเรียนจากประวัติศาสตร์ชี้ชัดว่าการอพยพและตั้งถิ่นฐานใหม่ของชาวยิว (Diaspora) แม้จะสร้างเครือข่ายเข้มแข็งและรักษาอัตลักษณ์วัฒนธรรมได้ดี แต่ในบางครั้งก็เกิดความขัดแย้งกับเจ้าบ้าน แม้ไทยจะไม่มีรากฐานความขัดแย้งเช่นเดียวกับอิสราเอล-ปาเลสไตน์
การปรากฏของชุมชนแยกตัวและจัดโครงสร้างธุรกิจและศาสนาเป็นอิสระ อาจทำให้สังคมเจ้าบ้านรู้สึกว่าพื้นที่และทรัพยากรถูก “ยึดครอง” เป็นตัวจุดชนวนปัญหาที่หากปล่อยทิ้งไว้อาจลุกลามไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมและเศรษฐกิจได้
สำหรับประเทศไทย ผลกระทบระยะสั้นเห็นได้จากการบิดเบือนกฎหมายการถือครองที่ดินและการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การแข่งขันไม่เท่าเทียม และความเชื่อมั่นในธรรมาภิบาลเศรษฐกิจที่ลดลง หากปล่อยให้เกิดต่อไป ปัญหาจะขยายไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวที่อ่อนไหว เช่น ปาย เกาะสมุย และเกาะพะงัน รัฐบาลไทยเริ่มใช้มาตรการตรวจสอบ “นอมินี” และดำเนินคดีผู้กระทำผิดแล้ว แต่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น
การแก้ไขอย่างยั่งยืนต้องทำสามด้านพร้อมกันบังคับใช้กฎหมายเข้มงวดกับทั้งชาวต่างชาติและผู้ช่วยเหลือคนไทย ปิดช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อป้องกันการเลี่ยง และส่งเสริมการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนต่างชาติ ให้เคารพกฎหมายไทยและร่วมแลกเปลี่ยนกับชุมชนท้องถิ่นอย่างสร้างสรรค์ หากละเลย ปัญหาเล็กอาจกลายเป็นความขัดแย้งซับซ้อนในอนาคต เป็นบทเรียนว่า การปล่อยให้ใครก็ตามทำตามใจโดยไม่ตรวจสอบ อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ “น่าอึ้ง” และยากจะแก้ไข
น่าแปลกใจที่เจ้าหน้าที่รัฐเงียบเฉยได้ขนาดนี้ คงปล่อยให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นก่อนแล้วถึบจะตื่นเต้น
คนในรัฐบาลก็กำลังเล่นเกม “สายตายาวแต่ช้า” ปล่อยให้ชุมชนแยกตัวและผูกขาดธุรกิจเหมือนเป็นเจ้าของเมือง
ก็นิ่งเฉยต่อไปอีกไม่นาน ปัญหานี้ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่โกลาหลเหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นบทเรียนกันมาแล้ว
ไทยอาจไม่ต้องกังวลเพื่อนบ้านที่พูดเสียงดังจากกัมพูชาเพียงอย่างเดียว แต่ควรเงี่ยหูฟังเสียงก้าวเท้าจากอีกฝั่งของโลก อย่างอิสราเอลที่เริ่มเข้ามาเงียบ ๆ แต่มั่นคงกว่าเดิม
โลกยุคนี้ไม่ได้วัดกันด้วยอาวุธ แต่อยู่ที่ใครมองเห็นการขยับเขยื้อนที่น่ากลัวก่อนกันเท่านั้น