สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชากลับทวีความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง ด้วยการรุกคืบของพลเรือนกัมพูชาในพื้นที่ชายแดน ทำให้ฝ่ายความมั่นคงของไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการปกป้องอธิปไตยในภาวะสุญญากาศทางการเมืองที่ละเอียดอ่อนยิ่ง
สถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะการรุกล้ำของพลเรือนกัมพูชาในพื้นที่จ.ปราจีนบุรี สะท้อนถึงการใช้ช่องว่างทางการเมืองของฝ่ายตรงข้าม ในช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจจากรัฐบาลเก่า สู่รัฐบาลใหม่ที่นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกุล แม้รัฐบาลใหม่จะยังไม่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณและแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ทำให้การสั่งการอย่างเต็มรูปแบบยังเป็นไปได้ยาก แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยยังคงมีอำนาจเต็มตามกฎหมายและสามารถดำเนินการในพื้นที่ได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากรัฐบาล ซึ่งสอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากลที่กองทัพมีอำนาจในการปกป้องอธิปไตยของประเทศอย่างฉับพลันในสถานการณ์ฉุกเฉิน
การที่กัมพูชาใช้จังหวะนี้ในการรุกคืบ ถือเป็นกลยุทธ์ที่มุ่งสร้างความได้เปรียบทางรูปธรรมในพื้นที่ และสร้างแรงกดดันทางการทูตผ่านเวทีระหว่างประเทศ โดยอาศัยหลักฐานที่อาจเตรียมไว้ล่วงหน้าเพื่อใช้ในการฟ้องร้องนานาชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยต้องเฝ้าระวังเป็นอย่างยิ่ง การที่รัฐบาลยังไม่สามารถเข้าบริหารได้อย่างเต็มรูปแบบ อาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณของความอ่อนแอหรือความไม่แน่นอนในการตอบสนอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายกัมพูชากำลังฉวยโอกาส
ในขณะที่ข่าวรายงานถึงการถอยห่างทางการเมืองของนายภูมิธรรมและอำนาจของรัฐบาลรักษาการที่ลดลง ยิ่งตอกย้ำถึงช่องว่างที่ฝ่ายตรงข้ามมองเห็นและฉวยโอกาสใช้ประโยชน์ได้
การแก้ไขสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ ในภาวะสุญญากาศอำนาจรัฐบาล ควรดำเนินการแบบ “แยกส่วนอำนาจ” (Separation of Powers in Crisis) โดยฝ่ายทหารต้องใช้อำนาจที่มีอยู่เต็มที่ในการปกป้องอธิปไตยและผลักดันผู้รุกล้ำอย่างเด็ดขาดและตามขั้นตอนทางกฎหมายสากลอย่างเคร่งครัด
ขณะเดียวกัน รัฐบาลใหม่ควรเตรียมการทีมงานของของรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและแนวทางของนโยบายต่างประเทศโดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการสื่อสารและการบริหารจัดการ และที่สำคัญที่สุดคือฝ่ายการทูตของไทย โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ ต้องเตรียมพร้อมในการโต้แย้งข้อมูลในเวทีโลกอย่างทันท่วงที โดยใช้หลักฐานที่ฝ่ายความมั่นคงรวบรวมได้เพื่อหักล้างข้อกล่าวหาของฝ่ายกัมพูชา
ดังนั้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาความมั่นคงของไทย ฝ่ายความมั่นคงต้องดำเนินการเชิงรุกในพื้นที่ด้วยความเด็ดขาด แต่ยังคงไว้ซึ่งความรอบคอบและหลักฐานที่ชัดเจน
รัฐบาลใหม่ แม้จะยังไม่สามารถสั่งการได้เต็มที่ แต่ควรเปิดช่องทางการสื่อสารกับฝ่ายทหารและกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านอำนาจเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่เกิดช่องว่างในการทำงาน การประสานงานระหว่างฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายการทูตจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความท้าทายนี้ และแสดงให้ประชาคมโลกเห็นถึงความแข็งแกร่งและความเป็นเอกภาพของไทยในการปกป้องอธิปไตยของตนเอง.
สถานการณ์ปัจจุบันบ่งชี้ถึงความท้าทายที่ต้องอาศัยทั้งกำลังทางทหารและความสามารถทางการทูต การตอบสนองที่ล่าช้าจะนำมาซึ่งความสูญเสียในเชิงอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ