ชี้ตามหลัง “เวียดนาม” คือฝันร้ายที่ต้องกระโดดให้ทัน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทยประจำปี 2568 ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นในการ “รีเซ็ตโครงสร้างประเทศ” และ “Recover เศรษฐกิจไทย”
ทั้งนี้ โดยแบ่งการปรับโครงสร้างออกเป็น 3 มิติหลัก ได้แก่ ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม/ดิจิทัล พร้อมประกาศกร้าวว่า ไทยต้องทวงคืนตำแหน่งผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาคกลับมาให้ได้
โดยชี้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันที่ไทยเติบโตช้ากว่าเวียดนามถือเป็น “ฝันร้าย” ที่ทุกคนต้องร่วมมือกันแก้ไข นายกฯ เน้นย้ำความจำเป็นในการปรับปรุงระบบที่ไม่ตอบโจทย์ยุคใหม่ รวมถึงการยกเครื่องกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมสากลเพื่อรองรับการเข้าร่วม OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development)หรือ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา และปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงในระบบเศรษฐกิจ
คำถามสำคัญที่ยังคงค้างคาในใจสาธารณชน คือวิสัยทัศน์ที่กว้างใหญ่ไพศาลระดับ “รีเซ็ตประเทศ” นี้ จะสามารถเกิดขึ้นจริงได้ภายใต้เงื่อนไขและอายุรัฐบาลที่เป็นอยู่หรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลชุดปัจจุบันที่นำโดยนายอนุทินมี กรอบเวลาทำงานจำกัดเพียง 4 เดือน ภายใต้ข้อตกลง (MOA) ก่อนการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่
ทั้งนี้ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการปฏิรูปโครงสร้างใหญ่ในด้านความมั่นคงและกระบวนการยุติธรรมย่อมต้องใช้เวลาและความต่อเนื่องทางการเมืองที่มากกว่าระยะเวลาอันสั้นนี้
นักวิเคราะห์มองว่าสิ่งที่รัฐบาลจะทำได้จริงในระยะสั้น อาจจำกัดอยู่เพียงการเดินหน้ามาตรการ “ลดค่าครองชีพ” และการสร้าง “ความมั่นคงทางการเกษตรและพลังงาน” ซึ่งเป็นนโยบายที่สามารถ “เก็บเกี่ยวคะแนนนิยม” จากประชาชนได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม ก่อนจะถึงวันตัดสินชี้ชะตาในสนามเลือกตั้งครั้งใหม่
ขณะเดียวกัน การปาฐกถาของนายกฯ อนุทินที่เต็มไปด้วยพลังและความมั่นใจในการ “กระโดด” แซงเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเวียดนาม ที่ถูกเปรียบดั่งกระต่ายประมาทเต่าในนิทานอีสป ก็สร้างความรู้สึกที่ก้ำกึ่งระหว่างความหวังและความขบขันให้กับผู้ฟังไม่น้อย โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “ผมยังมั่นใจกว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าของพรรคภูมิใจไทยของผมอีก” นั้น
สะท้อนให้เห็นว่าในห้วงเวลาแห่งการทำงานที่เหลืออยู่ การสร้างผลงานเพื่อ “โกยคะแนนเสียง” และการ “ดูด ส.ส.” จากพรรคคู่แข่งและพรรคอื่น ๆ ที่กำลัง “ทยอยกันเข้ามาด้วยเหตุผลนานาประการ” อาจกลายเป็นเป้าหมายหลักที่ “มั่นใจยิ่งกว่า” การบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจระดับชาติที่ยิ่งใหญ่ตามที่ได้ประกาศไว้เสียอีก
ทั้งยังเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการเลือกตั้งครั้งหน้ามีความสำคัญระดับเดิมพันอนาคตทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีเองเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่เต็มไปด้วยการช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ “ความมั่นใจ” ของนายกรัฐมนตรีในการที่จะพาประเทศไทย “แซงเพื่อนบ้านให้ได้” และ “เป็นหนึ่งในภูมิภาคให้ได้” เราก็ยังคงเป็นกำลังใจสำคัญที่รัฐบาลพยายามส่งต่อให้กับภาคเอกชนและประชาชน เพื่อให้ทุกคนร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะเปลี่ยนผ่านนี้ไปให้ได้ แม้ว่าภารกิจ “รีเซ็ตโครงสร้างประเทศ” อาจจะต้องส่งต่อให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นผู้สานต่อก็ตาม
ดูเหมือนว่าความหวังเล็ก ๆ ของนายกฯ ที่จะ “กลับมาร่วมงานนี้ได้อีกครั้งในปีหน้า” อาจเป็นเครื่องยืนยันว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า จะมาถึงเร็วกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้เพื่อวัดผลความสำเร็จของการ “รีเซ็ต” ในฉบับของนายอนุทิน