การเมืองไทยในสัปดาห์นี้เหมือนละครเวทีที่มีหลายฉากตัดสลับกันอย่างรวดเร็ว คำพิพากษายกฟ้องอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ในคดีมาตรา 112 ชั่วข้ามคืนก็เปลี่ยนบรรยากาศที่เคยตึงเครียดให้คลายลง แต่ในความผ่อนคลายนั้นกลับซ่อน “ดีลการเมือง” ที่ใครหลายคนตั้งคำถาม
ขณะที่สายตาสังคมกลับหันไปจับจ้องที่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งจะวินิจฉัยอนาคตทางการเมืองของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 29 สิงหาคม ว่าเสียงในคลิปกับอดีตนายกฯ ฮุน เซน แห่งกัมพูชาจะเป็นเพียงบทสนทนาส่วนตัว หรือจะกลายเป็นระเบิดทางการเมืองลูกใหญ่
ความเคลื่อนไหวของพรรคภูมิใจไทยก็เป็นอีกฉากที่ไม่อาจมองข้าม การหยิบประเด็นการยกเลิกบันทึกความเข้าใจไทย–กัมพูชาปี 2543–2544 ขึ้นมาในสภาฯ แสดงให้เห็นการวางหมากเพื่อสร้าง “พื้นที่ยืน” ทางการเมืองของตนเองท่ามกลางรัฐบาลผสมที่เปราะบาง ทั้งในมิติการต่างประเทศและในเกมอำนาจภายใน หลายฝ่ายอ่านได้ว่า นี่ไม่ใช่เพียงการถกเถียงเรื่องชายแดน หากแต่เป็นการส่งสัญญาณว่าพรรคพร้อมจะเล่นบทพระเอก หรืออย่างน้อยก็ไม่อยากถูกจำกัดให้เป็นเพียงตัวประกอบ
ทั้งหมดนี้สะท้อนความจริงข้อหนึ่งว่า แม้คำพิพากษายกฟ้องทักษิณจะช่วยให้เสถียรภาพรัฐบาลดูแข็งแรงขึ้น แต่เส้นทางของการเมืองไทยก็ยังเหมือนเชือกที่ขึงตึง ระหว่าง “การยืดเพื่ออยู่ต่อ” กับ “การสะบัดจนขาด”
หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ไม่เป็นคุณต่อแพทองธาร เราอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน และการเมืองไทยก็จะได้เริ่มต้น “การรีเซ็ตครั้งใหม่” อีกครั้งหนึ่ง
คำถามคือ คนไทยพร้อมจะนั่งดูละครเรื่องเดิมในฉากใหม่ หรือจะลุกขึ้นมาเขียนบทใหม่ให้กับประเทศตัวเอง?