พรรคเพื่อไทยยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ขอถอดถอนสมาชิกภาพ ส.ส. ของ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ ณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน อ้างว่า การทำข้อตกลง MOA เพื่อสนับสนุนการโหวตนายกรัฐมนตรีเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์และครอบงำพรรคการเมืองอื่น
หมากนี้ สะท้อนถึงความพ่ายแพ้และความตื่นตระหนกของพรรคเพื่อไทย ที่พยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อโค่นคู่ต่อสู้ทางการเมือง
การเคลื่อนไหวล่าสุดของพรรคเพื่อไทย ถือเป็น การสู้ทางการเมืองผ่านกระบวนการยุติธรรม มากกว่าการเจรจาภายในสภา โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อไทย ได้นำคำร้องยื่นต่อประธานสภาฯ ให้ส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยว่า การทำ MOA ระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนเพื่อสนับสนุนอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 114 และมาตรา 185 รวมถึงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองหลายมาตรา
พรรคเพื่อไทยยืนยันว่า MOA ดังกล่าวเป็นการ กำหนดเงื่อนไขบังคับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคร่วมรัฐบาล, แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ และจำกัดอิสระการดำเนินงานของพรรคภูมิใจไทย ถือเป็นการ ละเมิดหลักประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ด้านพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน อาจมองว่าการทำข้อตกลงร่วมเป็น กลยุทธ์จำเป็นเชิงการเมือง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำให้เกิดเสถียรภาพ แต่กลับถูกตีความโดยพรรคเพื่อไทยว่าเป็น “แลกผลประโยชน์” และเป็นการ ก้าวก่ายและครอบงำซึ่งกันและกัน
เรื่องนี้ ผลลัพธ์ทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้น แม้จะยากมาก
-หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องและวินิจฉัยว่ามีความผิด จะเกิด วิกฤติการเมืองรอบใหม่ การถอดถอน ส.ส., การเลือกตั้งซ่อม, และความไม่มั่นคงของรัฐบาลใหม่
-หากศาลไม่รับคำร้อง จะเป็น ชัยชนะทางจิตวิทยา ของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน แต่ยังคงสะท้อนความตึงเครียดในสภาอยู่ดี
ในสนามการเมืองไทย การใช้กฎหมายเป็นอาวุธไม่ต่างจากการเล่นเกมหมากรุก
แต่คราวนี้พรรคเพื่อไทยเหมือนผู้เล่นที่เห็นว่าตัวเองเสียหมากไปแล้วจึง พยายามยกกระดานทั้งหมดกลับคืน โดยไม่สนใจว่ากระดานจะพังหรือไม่…
ส่วนประชาชนก็ยืนมองอยู่ข้างสนาม พร้อมกับถอนหายใจว่าการเมืองไทยยังคงเล่นเกมชิงอำนาจสูงสุดแบบสายฟ้าแลบ ที่ใครไม่พึ่งกลยุทธ์ ก็อาจโดนพายุการเมืองพัดหายไป