ปฏิเสธไทยซ้ำ ตอกย้ำพฤติการณ์ที่โลกรู้
ความยินดีในการร่วมมือกับเกาหลีใต้เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนตกลายเป็นเพียงฉากหน้าของ “มารยาทางการทูต” เมื่อผู้นำกัมพูชาปฏิเสธการร่วมมือกับไทยอย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำยังผลักภาระให้ไทยไปแก้ปัญหาตนเองก่อน
การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ตอกย้ำถึงการ “ตระบัดสัตย์” ที่กัมพูชาแสดงออกอย่างต่อเนื่องในปัญหาชายแดน แต่ยังเผยให้เห็น “ความไม่จริงใจ” ในการแก้ไขอาชญากรรมข้ามชาติอย่างแท้จริง ซึ่งนานาชาติเริ่มประจักษ์ถึงพฤติการณ์นี้แล้ว
ฉากหน้าของความร่วมมือที่แฝงด้วยการปฏิเสธ
จากการที่เกาหลีใต้ยกระดับมาตรการด้วยการส่งคณะทำงานพิเศษระดับสูงเข้าพบคู่เจรจาถึงกรุงพนมเปญ พร้อมสั่งเตือนภัยการเดินทางระดับสูงสุดในพื้นที่สีหนุวิลล์ สะท้อนชัดเจนว่าเกาหลีใต้ไม่ไว้วางใจในความสามารถหรือความจริงใจของกัมพูชา แต่ปฏิกิริยาของนายกฯ ฮุน มาเนต ที่ยินดีร่วมมือกับเกาหลีใต้ กลับเป็นคนละเรื่องกับการปฏิบัติต่อประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง
ทั้งนี้ การไทยแสดงความพร้อมในการร่วมมือจัดการอาชญากรรมข้ามแดน ผู้นำกัมพูชาได้ปฏิเสธความร่วมมือกับไทยทันที โดยใช้คำพูดเสียดสีให้ไทยกลับไปจัดการปัญหาภายในประเทศของตนก่อน ท่าทีนี้ไม่ใช่เพียงการปฏิเสธ แต่คือการ “เหยียบย่ำ” ความพยายามของมิตรประเทศ และทำให้ความตึงเครียดด้านความมั่นคงตามแนวชายแดนที่ระอุอยู่ก่อนหน้านี้จากปัญหาการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและการใช้ทุ่นระเบิดยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
พฤติการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจของกัมพูชาในเรื่องอาชญากรรมข้ามชาติเป็นเพียงอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่ต่อยอดมาจากประวัติการ “ตระบัดสัตย์” ที่นานาชาติรับรู้ดีอยู่แล้ว ทั้งกรณีการละเมิดเขตแดนและการใช้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญต่างชาติยืนยันว่าเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกวางขึ้นใหม่ การที่กัมพูชาแสดงความยินดีร่วมมือกับเกาหลีใต้ก็เพียงเพราะถูกแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการทูตจากประเทศมหาอำนาจ ขณะเดียวกันก็พยายาม “สลัดทิ้ง” ประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยออกจากการมีส่วนร่วม แสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่ากัมพูชาไม่มีเจตนาจริงใจในการกำจัดรากเหง้าของอาชญากรรมข้ามชาติ แต่ต้องการเพียงจัดการเฉพาะหน้าที่เพื่อบรรเทาแรงกดดันจากภายนอกเท่านั้น
การกระทำเช่นนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการยอมรับโดยปริยายว่าปัญหาดังกล่าวถูกปกป้องหรือมีผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอำนาจภายใน
หลักฐานที่ประจักษ์ชัดจากปฏิบัติการของไทย
สิ่งที่ตอกย้ำพฤติการณ์นี้อย่างชัดเจนคือความเชื่อมโยงของอาชญากรรมกับกลุ่มอำนาจในกัมพูชา ดังเช่นกรณีเมื่อเร็วๆ นี้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้เข้าตรวจค้นอาคารและพบหลักฐานสำคัญที่เชื่อมโยงกับกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่การขยายผลและพบว่าเจ้าของบ้านพักนั้นเป็น วุฒิสมาชิกชาวกัมพูชา ที่กำลังหลบหนีความผิดอยู่ พฤติการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าขบวนการสแกมเมอร์มิได้เป็นเพียง “แก๊งนอกกฎหมาย” ธรรมดา แต่เป็น “องค์กรอาชญากรรมที่มีสายสัมพันธ์ระดับสูง” กับเครือข่ายอำนาจรัฐในกัมพูชา ข้อมูลเช่นนี้ถูกส่งผ่านช่องทางข่าวกรองระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าการร้องขอความร่วมมือจากกัมพูชามีแต่จะนำไปสู่ความล่าช้าและการตบตาเท่านั้น
การที่ไทยมีความจริงใจยื่นมือช่วยเหลือและร่วมมือกลับถูกปฏิเสธอย่างหยามเกียรติและประจักษ์ถึงการ “ตระบัดสัตย์” ซ้ำซาก รัฐบาลไทยจึงไม่ควรทุ่มเททรัพยากรไปกับการเจรจาที่ไร้ผลอีกต่อไป
ณ เวลานี้ ถึงเวลาที่ต้อง ยกระดับมาตรการจัดการด้วยตนเอง และ ขยายความให้ประชาคมโลกเห็นถึงพฤติการณ์ของกัมพูชา ในประเด็นนี้อย่างชัดเจน โดยการนำข้อมูลการสืบสวนทั้งหมดของไทย ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานการวางทุ่นระเบิด การละเมิดเขตแดน และความเชื่อมโยงของแก๊งสแกมเมอร์กับนักการเมืองกัมพูชา ไปเปิดเผยในเวทีระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการดำเนินการ “มาตรการ 3 ตัด” ทั้งตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต และตัดการขนส่งน้ำมัน ตามแนวชายแดนอย่างเด็ดขาด โดยไม่จำเป็นต้องรอความยินยอมจากประเทศที่ไม่มีควา
มจริงใจในการแก้ไขปัญหาอีกต่อไป เพื่อปกป้องผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติไทยเอง.