มากกว่าผลักภาระการตัดสินใจให้ประชาชนผ่านประชามติ ซึ่งอาจยืดเยื้อและไม่ก่อผลผูกพันทางกฎหมาย
ประเด็นบันทึกความเข้าใจ MOU 43 และ MOU 44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา กลับมาเป็นจุดร้อนทางการเมืองอีกครั้ง ภายหลังรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เสนอให้มีการทำประชามติ เพื่อตัดสินใจว่าจะยกเลิกหรือไม่ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์จากหลายฝ่ายว่า การทำประชามติในประเด็นซับซ้อนเช่นนี้ มิได้สะท้อนการมีส่วนร่วมที่แท้จริง แต่กลับเป็นการโยนภาระการตัดสินใจไปให้ประชาชน โดยเฉพาะเมื่อคนส่วนใหญ่ไม่เคยเข้าถึงรายละเอียดของบันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับ
ข้อเท็จจริงคือ การลงนาม MOU 43-44 ไม่เคยผ่านประชามติ แต่เกิดจากการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศ ดังนั้น หากรัฐบาลจะยกเลิกก็สามารถดำเนินการในกรอบอำนาจคณะรัฐมนตรีเอง ไม่จำเป็นต้องอ้างประชามติที่ไม่ก่อผลผูกพันกับรัฐบาลชุดต่อไป อีกทั้งในทางกฎหมายระหว่างประเทศ กัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรงด้วยการยิงถล่มแนวชายแดนและวางทุ่นระเบิดในฝั่งไทย เหตุการณ์เหล่านี้ถือเป็นเงื่อนไขให้ไทยอาศัยมาตรา 60 ของอนุสัญญากรุงเวียนนา ปี 1969 ใช้สิทธิยกเลิก MOU ได้โดยฝ่ายเดียว
ประเด็นสำคัญอีกด้านคือความเร่งด่วน หากรัฐบาลเดินหน้าทำประชามติ ย่อมต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายเดือนเพื่อให้ข้อมูลแก่ประชาชน ซึ่งเสี่ยงจะไม่ทันต่อสถานการณ์ความมั่นคง และในที่สุดอาจถูกมองว่ารัฐบาล “ถ่วงเวลา” มากกว่าปกป้องอธิปไตย ขณะที่ผลประชามติก็ไม่ได้เป็นเครื่องมือบังคับทางกฎหมายอยู่แล้ว เพราะการยกเลิกหรือไม่ยกเลิกยังคงเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี
ท้ายที่สุด เมื่อรัฐบาลเลือกเดินเกมประชามติ แทนที่จะใช้อำนาจที่มีอยู่ ก็ทำให้เกิดคำถามว่า นายกรัฐมนตรีกำลังพยายามสร้างภาพความเป็นประชาธิปไตย หรือจริง ๆ แล้วเพื่อหาทางเลี่ยงความรับผิดชอบ หากวันหนึ่งประชาชนตัดสินใจผิดพลาด ก็อาจตกเป็น “แพะการเมือง” แทนผู้นำ
หรือไม่ก็สะท้อนว่า บางทีรัฐบาลอาจคิดเรื่องอื่นอยู่มากกว่าการยกเลิกบันทึก MOU นั้นเอง