หวังกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปีด้วยเงิน 66,400 ล้านบาท แม้แบงก์ชาติเตือนว่า ผลลัพธ์ต่อจีดีพีไม่ถึง 0.4% แต่ก็เป็นโอกาสให้ประชาชนและร้านค้าขนาดเล็กได้ “เฮียใจดี แจกเงิน” กันอีกครั้ง
โครงการ คนละครึ่ง เคยเริ่มในสมัย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อตอบโต้ผลกระทบจากโควิด-19 และกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ โดยแบ่งเงินให้ประชาชนครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งประชาชนจ่ายเอง ผลปรากฏว่าร้านค้ารายย่อยและผู้ประกอบการขนาดเล็กมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ผลกระทบต่อจีดีพีโดยรวมถือว่าเล็ก โดยรัฐบาลภูมิใจไทยนำกลับมาในชื่อ คนละครึ่งพลัส ปี 2568 ด้วยกลุ่มผู้มีรายได้ในระบบภาษี 9 ล้านคน, กลุ่มทั่วไป 11 ล้านคน และกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน
ข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่าในโครงการเดิม การใช้จ่ายภายในประเทศกระตุ้นจีดีพีได้เล็กน้อย เพราะเงินส่วนใหญ่เป็นการโอนให้ประชาชนใช้จ่ายรายวันและไม่ได้สร้างงานถาวร รวมถึงมีส่วนรั่วไหลออกนอกประเทศผ่านสินค้านำเข้า ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนว่า แม้คนละครึ่งจะช่วยร้านค้ารายย่อยและกระตุ้นการจับจ่ายชั่วคราว แต่ผลต่อเศรษฐกิจรวมไม่เด่น
โครงการนี้มีทั้ง ผู้สนับสนุนและผู้วิจารณ์ ฝ่ายสนับสนุนมองว่าช่วยลดภาระค่าครองชีพและกระตุ้นรายได้ร้านค้ารายย่อย ฝ่ายวิจารณ์เตือนว่าเป็น เครื่องมือสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงใกล้การเลือกตั้ง และการใช้เงินเต็มวงเงินอาจส่งผลต่อฐานะการคลังในระยะยาว หากนำมาใช้โดยไม่วางมาตรการรองรับ
แม้ผลต่อจีดีพีจะน้อย แต่โครงการ “คนละครึ่งพลัส” เป็นเหมือน ยาแรงชั่วคราว ให้ประชาชนและร้านค้าได้ยิ้มระหว่างปลายปี ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้ภาพลักษณ์ว่าใส่ใจประชาชน เหมือนแจกของขวัญช่วงเทศกาล แต่เศรษฐกิจจริงๆ ต้องการมาตรการสร้างงานและความยั่งยืนมากกว่าการแจกเงินชั่วคราว