การล่มสลายของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพรรคเพื่อไทยในรัฐสภาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 ไม่ใช่เพียงความพ่ายแพ้ทางเทคนิคในห้องประชุม แต่คือการตอกย้ำถึง “วาระตกต่ำ” และการสูญเสียอำนาจต่อรองอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนของ “ค่ายสีแดง”
มติที่ร่างฯ ถูกตีตกเพราะขาดเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิก เพียงหยิบมือ คือสัญญาณอันชัดเจนว่า กลไกอำนาจรัฐได้เปลี่ยนมือไปแล้วอย่างสมบูรณ์ และพรรคเพื่อไทยที่เคยเป็นผู้กุมเกมได้กลายสภาพเป็นเพียง “คู่แข่งรายใหญ่” ที่ถูกล็อกและบีบด้วยกลไกทางกฎหมายและการเมืองอย่างมีเป้าหมาย การที่ร่างฯ ของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล และพรรคประชาชน (People’s Party) ได้รับการโหวตผ่าน จึงสะท้อนสมการอำนาจใหม่ที่พรรคภูมิใจไทยได้กุมอำนาจบริหารและสามารถประสานงานกับกลุ่มอำนาจเดิมได้เหนือกว่าพรรคเพื่อไทยอย่างเด็ดขาด
ความเพลี่ยงพล้ำครั้งนี้ไม่อาจแยกออกจาก “มรสุมตระกูลชินวัตร” ที่กำลังโหมกระหน่ำพรรคอย่างต่อเนื่อง การที่ผู้นำทางจิตวิญญาณอย่าง อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ต้องกลับเข้าสู่กระบวนการรับโทษจำคุกอย่างแท้จริง แม้จะลดโทษแล้ว แต่ก็สร้างบาดแผลลึกให้กับ “แบรนด์เพื่อไทย” ที่เคยขายความสามารถในการนำพรรคกลับสู่อำนาจอย่างเด็ดขาด ภาพลักษณ์ของ ‘ผู้นำที่อยู่เหนืออำนาจ’ ได้ถูกแทนที่ด้วยภาพ “ผู้ต้องขังที่ได้รับสิทธิพิเศษ” ซึ่งทำลายความน่าเชื่อถือทั้งในสายตาประชาชนและกลุ่มอำนาจเดิมที่เคยถูกท้าทาย การกลับเข้าเรือนจำของนายทักษิณ ไม่ได้เป็นเพียง “ปุ๋ยการเมือง” ตามที่บางฝ่ายคาดหวัง แต่มันคือ “ยาพิษทางการเมือง” ที่ทำให้ ส.ส. และสมาชิกพรรคที่เคยยึดโยงกับอำนาจบารมีส่วนตัวเริ่มมองหา “เรือลำใหม่” ที่มั่นคงกว่า
ความอ่อนแอภายในพรรคได้เปิดทางให้เกิดปรากฏการณ์ “งูเห่าเลื้อยออกจากถ้ำ” ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมีพรรคภูมิใจไทยเป็นจุดหมายปลายทางของกลุ่มการเมืองที่ต้องการความมั่นคง ขณะที่พรรคเพื่อไทยถูกกดดันให้ต้องไปเป็นฝ่ายค้านอย่างไม่เต็มใจ
การไหลออกของ ส.ส. ที่ต้องการความแน่นอนในการทำงานและงบประมาณ จึงเป็นไปตามหลัก “คณิตศาสตร์การเมือง” อย่างแท้จริง
การที่พรรคภูมิใจไทยสามารถขึ้นเป็นแกนนำรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้สำเร็จ ภายใต้การสนับสนุนอย่างมีเงื่อนไขจากพรรคประชาชน สะท้อนให้เห็นว่า พวกเขามีความสามารถในการบริหารจัดการอำนาจและผลประโยชน์ได้ดีกว่าพรรคเพื่อไทยในภาวะที่ไร้ผู้นำที่ทรงอิทธิพลอย่างแท้จริง การที่ร่างของเพื่อไทยตกไปนี้จึงเป็นการส่งสัญญาณไปยัง ส.ส. ทั่วประเทศว่า “ที่นี่ไม่มีอนาคต” สำหรับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้น ความพ่ายแพ้ในการโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการ “ผ่าตัดใหญ่” ทางการเมืองที่จะตามมา พรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญกับภาวะ “วิกฤตอัตลักษณ์” ที่ต้องเลือกระหว่างการรักษาความเป็นพรรคที่ยึดโยงกับจิตวิญญาณเดิม หรือการปรับตัวให้เป็นพรรคการเมืองยุคใหม่ที่พึ่งพากลไกประชาธิปไตยในสภาอย่างแท้จริง ซึ่งดูเหมือนว่าการไปหนุน ร่างของพรรคประชาชน เป็นร่างหลักคือการพยายามรักษาฐานเสียงประชาธิปไตยไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย แต่แรงบีบจากรัฐบาลภูมิใจไทยที่กำลังเผชิญกระแสกดดันให้ยุบสภา จากฝ่ายตรงข้าม ในขณะที่ต้องจัดการปัญหาภายในประเทศ ก็อาจทำให้เกมอำนาจนี้จบลงด้วยการ “ยุบสภา” เพื่อรีเซ็ตกระดานใหม่
อาจเป็นทางรอดเดียวที่พรรคเพื่อไทยหวังจะใช้ “ปุ๋ยแห่งความเห็นใจ” จากผู้นำที่ถูกจองจำ มาพลิกเกมการเลือกตั้งครั้งหน้า ก่อนที่พรรคจะถูกกลืนกินโดยอำนาจใหม่จนหมดสิ้นอย่างถาวรเป็นแน่แท้