การที่ ข้าราชการการเมืองประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ในทีมงานของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้รับมอบอำนาจทางกฎหมายจาก นายเบน สมิท (Benjamin Mauerberger) เพื่อยื่นฟ้องหมิ่นประมาท สส. รังสิมันต์ โรม จากการกล่าวหาพาดพิงถึงความเชื่อมโยงกับแก๊งสแกมเมอร์และธุรกิจสีเทา นับเป็นเหตุการณ์ที่สั่นคลอน มาตรฐานจริยธรรมสากล ของรัฐบาลไทยอย่างรุนแรง
ข้อเท็จจริงที่สร้างความย้อนแย้ง คือ ขณะที่รัฐบาลไทยประกาศเป็นวาระแห่งชาติในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอย่างสแกมเมอร์อย่างแข็งขัน แต่ “คนใน” กลไกอำนาจรัฐกลับปรากฏตัวในฐานะผู้ปกป้องทางกฎหมายให้กับบุคคลที่ถูกตั้งคำถามถึงที่มาของความมั่งคั่งและความสัมพันธ์กับทุนสีเทา
ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างนายเบน สมิท กับเครือข่ายอำนาจการเมือง รวมถึงการที่ ร.อ. ธรรมนัส ยอมรับว่ารู้จักคุ้นเคย ยิ่งทำให้ประเด็นนี้ขยายตัวจากเรื่องส่วนตัวไปสู่ วิกฤตความเชื่อมั่นต่อธรรมาภิบาล (Crisis of Governance) ของรัฐบาลโดยรวม
การกระทำดังกล่าวถือเป็นการ ขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ (Conflict of Interest) อย่างโจ่งแจ้งและบ่อนทำลายความชอบธรรมของนโยบายรัฐบาลอย่างไม่อาจยอมรับได้ตามหลักสากล
การที่ข้าราชการการเมืองใช้สถานะและเครือข่ายของตนมา เป็นเครื่องมือทางกฎหมายให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม ทำให้เกิดการตีความว่ารัฐบาลกำลังใช้ “ยุทธศาสตร์สองหน้า” โดยมือหนึ่งโฆษณาการปราบปราม แต่ด้วยอีกมือหนึ่งกลับให้ความช่วยเหลือแก่เครือข่ายที่ควรจะเป็นเป้าหมายของการปราบปรามเสียเอง
นี่คือการจุดอันตรายต่อหลักนิติรัฐ เพราะมันสะท้อนว่า เส้นแบ่งระหว่างอำนาจรัฐ หน้าที่สาธารณะ และผลประโยชน์ส่วนตัว/พวกพ้อง ได้ถูกทำให้เลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ เมื่อนักข่าวพยายามสอบถามนายกรัฐมนตรีถึงความเหมาะสม นายกฯ กลับเลือกที่จะ “โอนภาระความรับผิดชอบ” ไปให้ ร.อ. ธรรมนัส เป็นผู้ชี้แจง ซึ่งเป็นการแสดงออกที่ชี้ให้เห็นว่าผู้นำรัฐบาลเลือกที่จะ “รักษาระยะห่าง” เพื่อปกป้องตำแหน่งของตนเอง โดยยอมให้ประเด็นทางจริยธรรมนี้ถูกยกระดับให้เป็น “ปัญหาภายในกระทรวง” แทนที่จะเป็น “ปัญหาความรับผิดชอบของคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ”
เรื่องนี้ เป็นบททดสอบความจริงใจ (Test of Sincerity) ของรัฐบาลในการต่อต้านอาชญากรรมอย่างแท้จริง การที่บุคลากรในกลไกอำนาจรัฐอาสารับหน้าเป็นหัวหอกในการฟ้องคดีเพื่อ “ปิดปาก” นักการเมืองฝ่ายตรวจสอบที่ทำหน้าที่ในสภาฯ ยิ่งตอกย้ำข้อกล่าวหาว่า นี่อาจเป็นการใช้กลไกทางกฎหมายเป็นเครื่องมือในการ ข่มขู่ผู้เปิดโปง (SLAPP – Strategic Lawsuit Against Public Participation) ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาคมโลกต่อต้านอย่างหนัก
หากรัฐบาลไทยไม่เร่งดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมอย่างโปร่งใสและเด็ดขาดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และกำหนดมาตรฐานการวางตัวที่เข้มงวดสำหรับข้าราชการการเมืองอย่างเร่งด่วน ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในเวทีโลกก็จะถูกลดทอนลงจนเหลือเพียง “ความว่างเปล่า” เนื่องจากรัฐบาลมิได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในด้านจริยธรรมที่จำเป็นต้องมีในการนำพาประเทศไปสู่ความโปร่งใสและธรรมาภิบาล



