เปิดโปงเส้นทางส่วยหมื่นล้าน องค์กรสีกากีกำลังเดินสู่หายนะที่ปลายเอื้อม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตความน่าเชื่อถือครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อตำรวจระดับสูงต่างฝ่ายต่างเปิดโปงการทุจริตและการรับผลประโยชน์จากเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ แก๊งสแกมเมอร์ และเว็บพนันออนไลน์
ข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะได้ชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งเชิงอำนาจที่ร้าวลึก และการพัวพันกับเส้นทางการเงินที่น่าตกใจของเจ้าหน้าที่หลายร้อยนาย
เหตุการณ์ดังกล่าวถูกนำมาสู่จุดสนใจสูงสุดหลังจากการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเปิดเผยข้อมูลโดยละเอียดว่ามีตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการรับผลประโยชน์สูงกว่า 200 นาย ท่ามกลางความรับรู้ของสังคมที่ตระหนักดีถึงการเสื่อมถอยขององค์กรผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ล่าสุด นางสาวสุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เพื่อตอบคำถามที่คาใจสังคมและประเมินผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร กมธ. ตำรวจ ฯ ได้มีมติเชิญ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วนในวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งถือเป็นการเผชิญหน้าในรัฐสภาเพื่อหาทางออกวิกฤตครั้งนี้
การปะทะกันอย่างเปิดเผยระหว่างผู้นำองค์กรเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อหลักธรรมาภิบาลและความเชื่อมั่นของสาธารณชน น่าจะชี้ให้เห็นถึงผลกระทบในมิติต่าง ๆ ได้ดังนี้
1 วิกฤตนี้ก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อ ความชอบธรรมของสถาบันตำรวจ การเปิดโปงว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงมีส่วนเป็นผู้รับผลประโยชน์จากอาชญากรรม ทั้งเว็บพนัน,สแกมเมอร์ ทำให้เกิด ภาวะผลประโยชน์ทับซ้อนเชิงสถาบัน ที่บิดเบือนการปฏิบัติหน้าที่ และตอกย้ำว่าการทุจริตที่เกิดขึ้นเป็น ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เพียงพฤติกรรมส่วนบุคคล ซึ่งเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อ หลักการอำนาจตามกฎหมาย
2 ผลกระทบต่อประสิทธิผลการทำงานและความเชื่อมั่นของสาธารณชน เมื่อความขัดแย้งภายในส่งผลโดยตรงต่อ ประสิทธิผลเชิงปฏิบัติการ ตำรวจไม่สามารถปราบปรามอาชญากรรมที่ตนเองได้รับผลประโยชน์อย่างจริงจังได้ ซึ่งนำไปสู่ ภาวะล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้น ความไม่เชื่อมั่นทำให้ประชาชนลดความร่วมมือในการให้ข้อมูล ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อหลักการตำรวจที่เน้นชุมชนเป็นศูนย์กลาง และยังสร้าง ความเครียดทางจริยธรรม ให้แก่ตำรวจที่ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์
3 ความแตกแยกในระดับผู้นำนำมาสู่การทำงานที่ไร้เสถียรภาพและไม่ต่อเนื่อง เมื่อผู้นำระดับสูงทำลายความน่าเชื่อถือซึ่งกันและกัน ย่อมเกิด การล่มสลายของสายการบังคับบัญชา ส่งผลให้การสั่งการและการควบคุมเป็นอัมพาต ทรัพยากรขององค์กรจะถูกใช้ไปกับการต่อสู้ทางการเมืองภายใน แทนที่จะทุ่มเทให้กับการบรรลุเป้าหมายหลักขององค์กร
4 สถานการณ์ที่ผู้นำหน่วย ไม่สามารถควบคุมความขัดแย้ง หรือถูกครหาว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับปัญหา ถือเป็น วิกฤตภาวะผู้นำ และเป็นการท้าทายหลักการความรับผิดชอบเชิงตำแหน่ง หากไม่สามารถนำองค์กรออกจากความแตกแยกได้และถูกครหาต่อเนื่อง จะถือว่าขาดความสามารถในการนำ ตามหลักธรรมาภิบาลทางการปกครอง
นักการเมืองหลายยุคหลายสมัยเคยแก้ปัญหาของตำรวจมาหลายสิบครั้งก็ยังเป็นวัวพันหลัก สไม่ว่าจะมีองค์กรอิสระภายนอกหลายหน่วยเช่นในปัจจุบันก็ยังไม่อาจทัดทานกระแสรุนแรงนี้ได้ ไม่ว่าจะจัดการปฏิรูประบบบริหารงานบุคคลโดยใช้หลักคุณธรรมและความโปร่งใสในการคัดเลือกดังเช่นปัจจุบัน
ยังเหลือก็แต่การสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่บังคับใช้ จริยธรรมวิชาชีพอย่างถึงแก่นแท้เท่านั้น
ไม่น่าเชื่อ ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาถึงจุด “ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง” ก่อความเสียหายต่อเกียรติภูมิและศรัทธาของประชาชนอย่างประเมินค่ามิได้

ดังนั้น ด้วยหลักธรรมาภิบาล ผู้นำหน่วยจึงควรแสดง ความรับผิดชอบด้วยการลาออก เพื่อเปิดทางให้หน่วยงานกลางที่มีความเป็นอิสระเข้ามากวาดล้างและสะสางความสกปรกที่กัดกินองค์กรอย่างถอนรากถอนโคน อันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สังคมสามารถยอมรับองค์กรตำรวจที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมของประเทศได้อีกครั้ง
18/11/2568 “ชัยทัศน์”



