เมื่อโควต้าราชการกลายเป็นบ่อเงินให้เครือข่ายอำนาจ
ข่าวการเปิดทางให้มีการตรวจสอบโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานสำนักงานสลากฯ เป็นสัญญาณที่น่าสนใจอย่างยิ่งในบริบทที่การจัดสรรสลากฯ ถูกตั้งคำถามมาอย่างยาวนานว่าได้กลายเป็นกลไกในการจัดสรรผลประโยชน์และอำนาจทางการเมือง ซึ่งนำไปสู่ความร่ำรวยของกลุ่มบุคคลที่อาศัยบารมีและอิทธิพลในการเข้าถึง “ส่วนแบ่ง” มหาศาลในแต่ละงวด
ข้อเท็จจริงที่ตอกย้ำความไม่เป็นธรรม คือ สำนักงานสลากฯ ได้จัดสรรโควต้ากว่า 145,095 เล่ม (คิดเป็น 13.82%) ให้แก่องค์กร สมาคม และมูลนิธิต่างๆ แต่หลังจากนั้นกลับ “ปัดความรับผิดชอบ” โดยระบุว่า การบริหารจัดการและจัดสรรโควต้าต่อให้กับสมาชิก เป็นอำนาจหน้าที่ของแต่ละองค์กรเอง และสำนักงานสลากฯ จะไม่ก้าวก่ายตราบใดที่ไม่มีการร้องเรียนจากสมาชิกโดยตรง
คำกล่าวนี้ไม่ต่างอะไรกับการ “ยกกุญแจคลังสมบัติ” ให้แก่องค์กรที่ได้รับการจัดสรร และปล่อยให้การบริหารจัดการผลประโยชน์มูลค่ามหาศาลอยู่ภายใต้ความมืดมนและอิทธิพลที่ยากจะตรวจสอบจากภายนอก ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาการนำโควต้าไป “ขายต่อ” หรือ “แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว” โดยผู้บริหารองค์กรที่อยู่ในเครือข่ายของนักการเมืองและผู้มีอำนาจ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารและจัดสรรผลประโยชน์ทางธุรกิจแจงช่องทางให้เห็นว่า ระบบการจัดสรรโควต้าปัจจุบันเป็น “ช่องโหว่เชิงโครงสร้าง” ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ “เสือนอนกิน” อย่างชัดเจน การที่สำนักงานสลากฯ ยืนยันว่าจะไม่ตรวจสอบการบริหารจัดการภายในองค์กรที่ได้รับโควต้า ตราบใดที่ยังไม่มีเสียงร้องเรียนจาก “สมาชิก” นั้น เป็นตรรกะที่บิดเบือนและไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลสากล (Global Governance) เพราะเป็นการโยนภาระการตรวจสอบไปให้ “ผู้ถูกกดขี่” ที่อ่อนแอและเกรงกลัวอิทธิพลของผู้บริหารองค์กร ซึ่งมักมีความเชื่อมโยงกับ “อำนาจ” ที่แท้จริงอยู่เบื้องหลัง
เป็นที่รู้กันอยู่ว่า “เสือที่นอนกินโควต้า” เหล่านี้ สามารถใช้ “สมาคมบังหน้า” เป็นฉากกำบังความร่ำรวยส่วนตนได้อย่างแนบเนียน โดยอาศัยความอ่อนแอและความเกรงกลัวของสมาชิกเป็น “เกราะป้องกัน” การตรวจสอบจากรัฐ และที่น่ากังวลที่สุดคือการที่โควต้านี้ถูกใช้เป็น “บ่อเงินทุน” สำหรับการสร้างอิทธิพลและสายสัมพันธ์ในแวดวงการเมือง จนอาจถึงขั้นมี “นักการเมืองที่ร่ำรวยจากโควต้าสลากฯ” อยู่ในคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันตามที่สื่อและสาธารณชนตั้งข้อสังเกตมาอย่างยาวนาน
คำพูดของปลัดกระทรวงการคลังที่ว่า “ยินดีให้คุ้ย ให้รื้อ ให้ตรวจสอบ” จึงต้องถูกรับฟังด้วยความระมัดระวัง เพราะเป็น “ความกล้าหาญที่มาพร้อมกับความล่าช้า” (Courage with Delay) หากการตรวจสอบนี้เกิดขึ้นจริงและสามารถนำไปสู่การ “สังคายนา” รื้อระบบการจัดสรรโควต้าอย่างถอนรากถอนโคนตามความตั้งใจที่ระบุไว้ ก็จะเป็นก้าวสำคัญในการนำความโปร่งใสกลับคืนมา
รัฐบาลต้องตระหนักไว้ว่า การปล่อยให้ระบบการจัดสรรผลประโยชน์นี้ดำเนินต่อไปโดยไร้การตรวจสอบที่แท้จริง เป็นการทำลายความชอบธรรมทางการเมือง และเป็นการตอกย้ำข้อกล่าวหาว่า “รัฐบาลนี้มีมลทิน” เพราะปล่อยปละละเลยให้มีเหลือบยุงริ้นไรในคณะรัฐมนตรี หรือคนใกล้ชิดมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎหมายที่ควรจะถูกกำจัดไปนานแล้ว
การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงจะต้องมิใช่เพียงการ “ย้ายโควต้า” ไปให้หน่วยงานรัฐอื่นดูแล แต่ต้องเป็นการ “ตัดท่อน้ำเลี้ยง” ของเครือข่ายอำนาจที่แอบอ้างความชอบธรรมของสมาคมและองค์กรพิการเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว
รัฐบาลไม่ควรให้มีเวลา “เล่นเกมผลักภาระ” อีกต่อไป เพราะความไม่เชื่อมั่นในระบบสลากฯ คือความไม่เชื่อมั่นในความยุติธรรมของรัฐบาลโดยตรง



