รัฐบาลกัมพูชาหาช่องมานาน ในที่สุดนำเสียงผียื่นเรื่องร้องเรียนต่อสหประชาชาติ (UN) กรณีที่เอกชนไทยทำการเปิดเสียงดังอันน่าหวาดผวา ทั้งเสียงผีโหยหวนและเสียงเครื่องบินรบ ตามแนวชายแดน
ทั้งนี้ มิใช่เรื่องตลกขบขันทางกฎหมายระหว่างประเทศ หากแต่เป็น “ปฏิบัติการฟอกขาว” ทางการทูตที่กัมพูชาพยายามพลิกบทบาทจาก “ผู้รุกราน” ให้กลายเป็น “เหยื่อ” ที่น่าสงสารอย่างถึงที่สุด
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการใช้เวทีโลกและวาทกรรมด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากต้นตอของปัญหา
นั่นคือการที่พลเรือนกัมพูชาเข้าไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่อธิปไตยของไทยที่ไม่ได้รับการปักปันอย่างชัดเจน การกระทำอันชาญฉลาดของเอกชนไทยรายนี้จึงกลายเป็น “หมัดน็อก” ที่บีบให้กัมพูชาต้องออกมาแสดงความอ่อนแอด้วยการร้องเรียนเรื่องที่ไร้น้ำหนักทางกฎหมาย เพื่อหวังคะแนนสงสารจากนานาประเทศอย่างสิ้นหวัง
ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง (Public International Law) และกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อโต้แย้งของกัมพูชานั้น เปราะบางจนแทบจะสลายตัว เมื่อต้องเผชิญกับหลักการที่แข็งแกร่งที่สุดของกฎหมายระหว่างประเทศ คือ หลักอธิปไตยของรัฐ (Sovereignty) และ หลักความรับผิดของรัฐ (State Responsibility) โดยการกระทำดังกล่าวของเอกชนไทยเกิดขึ้นในเขตอำนาจอธิปไตยของตนเอง และรัฐบาลไทยสามารถใช้ “การปฏิเสธอย่างมีเหตุผล” (Plausible Deniability) ว่าการกระทำนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การสั่งการ ควบคุม หรือรับรองของรัฐ
ในอนุสัญญาว่าด้วยความรับผิดของรัฐต่อการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ (Articles on Responsibility of States for Internationally Wrongful Acts – ARSIWA) การกระทำของเอกชนไม่ถือเป็นการกระทำของรัฐ การที่กัมพูชาพยายามตีความ “เสียงดัง” ว่าเป็นการ “ข่มขู่ว่าจะใช้กำลัง” หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงตามกฎบัตร UN นั้น จึงเป็น ความพยายามยืดเยื้อทางวาทกรรม ที่ขาดรากฐานทางกฎหมายอย่างชัดเจน เพราะ การใช้กำลังนั้นตีความหมายเฉพาะการใช้กำลังทางทหารเท่านั้น
ดังนั้น การโอดโอยของกัมพูชาจึงเป็นเพียง เกมการทูตเชิงกลยุทธ์ ที่มุ่งสร้างภาพลักษณ์ “ผู้ถูกกระทำ” (Victimhood Narrative) ให้ปรากฏต่อสายตาโลก เพื่อกลบเกลื่อนความเป็นจริงที่ตนเป็นฝ่าย “ผู้ก่อความไม่สงบ” (Aggressor) ในบริบทของ “สงครามสีเทา” (Grey Zone Conflict) ที่ใช้พลเรือนเป็นเครื่องมือในการขยายอิทธิพลหรือบ่อนทำลายอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน
การร้องเรียนต่อ UN และ OHCHR ในเรื่อง “เสียงผี” ในขณะที่ข้อพิพาทหลักเรื่องการรุกล้ำยังคงดำรงอยู่ ถือเป็นการ “ทำลายความน่าเชื่อถือของตนเอง” ในเวทีระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง เพราะทำให้องค์กรระหว่างประเทศต้องเสียเวลาจัดการกับเรื่องที่ไม่มีมูลในทางกฎหมายและขาดสัดส่วนเมื่อเทียบกับความขัดแย้งเชิงดินแดนที่แท้จริง
เป็นที่ครึกครื้นของคอการเมืองว่า การที่กัมพูชา หยิบเรื่องเสียงผีฟ้อง UN มันเป็นเหรียญตราแห่งความสิ้นหวัง ที่กัมพูชาพยายามใช้เพื่อ “ตีตื้น” ภาพลักษณ์ที่ตนเองเป็นฝ่ายเริ่มต้นปัญหา
การกระทำของเอกชนไทยนั้นเป็นยุทธวิธีตอบโต้ที่ไม่ได้ละเมิดกฏหมาย นับเป็นความเฉลียวฉลาดด้วยซ้ำ ที่ทำให้กัมพูชาต้องติดกับดักทางวาทกรรม และต้องยอมรับการมีอยู่ของปัญหาด้วยการ “ร้องขอความช่วยเหลือ” ในเรื่องที่ไม่ใช่สาระสำคัญ อันทำให้ประชาคมโลกสามารถมองเห็น “ความเป็นเด็กงอแง” ของฝ่ายที่พยายามใช้ความสับสนของเขตแดนเพื่อประโยชน์ทางการเมืองได้อย่างชัดเจน
ประเทศไทยยังยืนยันว่าสามารถรักษาหลักการทางกฎหมายและอธิปไตยของตนได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่จำเป็นต้องยอมรับความรับผิดชอบใด ๆ ในการกระทำของเอกชนรายนี้