การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สิ้นสุดลงด้วยข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ซึ่งถือเป็นพัฒนาการเชิงบวกที่สำคัญในการคลี่คลายความตึงเครียดตามแนวชายแดน
ข้อตกลงนี้ครอบคลุมตั้งแต่การยุติการใช้อาวุธและการยั่วยุ ไปจนถึงการกำหนดกลไกตรวจสอบและรักษาสันติภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามามีบทบาทของคณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียน ซึ่งนำโดยมาเลเซีย ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของทั้งสองฝ่ายในการสร้างความไว้วางใจและหาทางออกร่วมกันอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของข้อตกลงนี้ขึ้นอยู่กับเจตจำนงทางการเมืองของทั้งสองประเทศอย่างแท้จริง รวมถึงความสามารถในการควบคุมกำลังพลในพื้นที่และปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ได้อย่างเคร่งครัด หากไม่เป็นเช่นนั้น ข้อตกลงนี้ก็อาจเป็นเพียงการหยุดพักรบชั่วคราวเท่านั้น
ข้อตกลงดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความจริงจังของทั้งสองประเทศในการป้องกันความขัดแย้งไม่ให้ขยายวง
ข้อ 1-4 ว่าด้วยการยุติการใช้อาวุธ การรักษาสถานะกำลังพล และการงดเว้นการยั่วยุ เป็นรากฐานสำคัญของการสร้างสันติภาพในระยะสั้น การมีกลไกตรวจสอบจากภายนอก เช่น คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวจากผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารของประเทศสมาชิกอาเซียนตามข้อ 12 สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะสร้างความเป็นกลางและลดข้อครหาเรื่องความลำเอียง
ข้อตกลงเช่นนี้ย่อมส่งผลดีต่อเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชายแดนที่ต้องพึ่งพาการค้าขายและการสัญจรไปมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ข้อตกลงนี้ยังขาดความชัดเจนในบางประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายละเอียดของ “ขอบเขต” การวางกำลังและพื้นที่พิพาทที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถาวร ซึ่งอาจกลายเป็นชนวนเหตุความขัดแย้งรอบใหม่ได้ในอนาคต
ข้อตกลงที่ดูรัดกุมและเป็นรูปธรรมเหล่านี้ย่อมทำให้สถานการณ์ชายแดนมีแนวโน้มที่จะสงบลงในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการเมืองภายในประเทศของทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ
กลไกการสื่อสารในระดับปฏิบัติการและระดับสูงตามข้อ 8.1, 8.3 และ 13 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยป้องกันการเข้าใจผิดและช่วยให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
การดำเนินการอย่างต่อเนื่องของ RBC และ GBC ตามที่ระบุไว้ในข้อตกลงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะหากการประชุมเหล่านี้ไม่เป็นไปตามกำหนด ก็อาจส่งสัญญาณว่าความตั้งใจของทั้งสองฝ่ายเริ่มลดลง
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างยั่งยืนนั้นจำเป็นต้องมีการเจรจาในประเด็นที่ละเอียดอ่อนมากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการปักปันเขตแดนที่ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะบรรลุข้อสรุปที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้
ในขณะที่ไทยและกัมพูชาต่างชื่นชมข้อตกลงสันติภาพอันเป็นประวัติศาสตร์นี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า จะเป็นข้อตกลงที่ปฏิบัติได้สักแค่ไหน
เหมือนไหม …การที่คู่รักทะเลาะกันแล้วมาลงเอยที่คำมั่นว่าจะไม่ขึ้นเสียงใส่กันอีกต่อไป แต่ยังไม่ยอมแก้ปัญหาที่ต้นตอว่าทำไมถึงทะเลาะกันตั้งแต่แรกนั่นแหละ.… !
คอยดู…อีกสักพัก ต้องมีเสียงตะโกนกลับมาด้วยคำว่า“พื้นที่ทับซ้อน” ก็ต้องมาดูกันอีกทีว่ามาเลเซียที่ทำหน้าที่เป็นกาวใจจะยังอยู่ไหม หรือจะต้องเรียกหาผู้เชี่ยวชาญการปักปันเขตแดนมาเป็นพ่อสื่อเพิ่มอีกคน