กระแสการพิจารณายกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา (MOU) ทั้ง พ.ศ. 2543 (MOU 43) ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก และ พ.ศ. 2544 (MOU 44) ว่าด้วยความร่วมมือในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ได้ถูกจุดให้ร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล มีแนวคิดจัดการ “ประชามติ” ไปพร้อมกับการเลือกตั้งในปี 2569 โดยให้เหตุผลว่าเป็นการให้เกียรติและขอฉันทานุมัติจากประชาชนในเรื่องสำคัญ
นักวิเคราะห์หลายสำนัก และพรรคการเมืองฝ่ายค้านกลับมองว่า นี่คือการ “ผลักภาระ” ที่มีความละเอียดอ่อนซับซ้อนให้ประชาชนตัดสินใจแทนรัฐบาล ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารที่มีข้อมูลและกลไกในการตัดสินใจตามหลักการบริหารประเทศ
เหตุผลสำคัญที่ทำให้การทำประชามติถูกตั้งคำถามอย่างหนักคือ “ความไม่เข้าใจในเนื้อหา” ของ MOU ทั้งสองฉบับอย่างกว้างขวางตามผลโพล ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ใช่เจตจำนงที่แท้จริงหรือเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ
MOU ทั้งสองฉบับเป็นเพียง “กรอบในการเจรจา” ไม่ได้เป็นการกำหนดเขตแดนโดยเด็ดขาด
MOU 43 เป็นกลไกสำคัญที่ผูกมัดให้กัมพูชาต้องเจรจาเรื่องเขตแดนทางบกกับไทยแบบทวิภาคี โดยอ้างอิงสนธิสัญญาเก่าแก่
แต่การที่ไทยระบุว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงกว่า 500 ครั้ง และปัญหาเขตแดนที่ยึดแผนที่คนละฉบับได้สะสมมานานกว่า 20 ปี สะท้อนถึง “ความล้มเหลวในการขับเคลื่อน” ภายใต้กรอบเดิม
ส่วน MOU 44 มุ่งแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลขนาดใหญ่ที่อุดมด้วยทรัพยากร โดยกำหนดให้เจรจาทั้งการปักปันเขตแดนและการพัฒนาร่วมกันอย่างไม่แบ่งแยก
ซึ่งข้อกังวลเรื่องการลากเส้นอ้างสิทธิ์ของกัมพูชาที่รุกล้ำเกาะกูดของไทยยังคงเป็นประเด็นอ่อนไหว
การยกเลิก MOU จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ง่ายดาย เพราะอาจทำให้ “กรอบการเจรจาหายไป” และอาจเปิดโอกาสให้กัมพูชานำประเด็นไปสู่เวทีระหว่างประเทศได้อีกครั้งตามความกังวลของผู้เชี่ยวชาญ
ทางออกเพื่อรักษาอธิปไตยอย่างมั่นคงต่อ MOU 43-44 เห็นว่า ต้องดำเนินการบนฐานของ “ข้อมูลที่ครบถ้วนและผลประโยชน์แห่งชาติ” ไม่ใช่การตัดสินใจทางการเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
รัฐบาลควรยกเลิกแนวคิดการทำประชามติในสภาวะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเนื้อหาอย่างแท้จริง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อการบิดเบือนข้อมูลและการตัดสินใจที่ไร้ทิศทาง สิ่งที่ควรทำอย่างเร่งด่วนที่สุด คือการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาจากผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยใช้ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ความมั่นคง และเศรษฐศาสตร์ เพื่อประเมิน “ข้อดีข้อเสีย” ของการคงไว้และการยกเลิกอย่างรอบด้าน
แนวทางการดำเนินงานเพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติ เพื่อรักษาอธิปไตยได้อย่างมั่นคงและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชาติ รัฐบาลต้องเป็นผู้ “ตัดสินใจ” อย่างกล้าหาญ บนหลักการที่ไม่ยอมให้เสียเปรียบในเรื่องเขตแดนและทรัพยากรธรรมชาติ
ในการนี้ หากพบว่า MOU ทั้งสองฉบับเป็น “อุปสรรค” ต่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติจริง และฝ่ายกัมพูชาเจตนาละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่องจนไม่สามารถขับเคลื่อนได้ตามเจตนารมณ์เดิม คณะรัฐมนตรีควรใช้อำนาจในการพิจารณายกเลิก แต่ต้อง “เตรียมแผนรองรับ” ที่ชัดเจนทันทีหลังการยกเลิก เพื่อกำหนดกรอบการเจรจาทวิภาคีใหม่ที่มีเงื่อนไขเข้มงวดและเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของไทยอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ หากยังคงไว้ รัฐบาลต้องกำหนด “มาตรการบังคับใช้” และการทบทวนความร่วมมือที่เข้มข้นขึ้น
การตัดสินใจใดๆ ต้องมุ่งเน้นที่การ “ปกป้องเส้นเขตแดน” ตามหลักกฎหมายที่ไทยยึดถือ และการ “แบ่งปันผลประโยชน์” ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน