ที่จะกลบยุทธศาสตร์การหาความชอบธรรมการใช้สื่อโซเชียลปฏิเสธความรับผิดของกัมพูชา
เมื่อวานนี้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่น่าจับตามอง และสะท้อนภาพความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองประเทศ แม้จะมีการพูดคุยเพื่อหาทางออก แต่ดูเหมือนว่าประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่นั้นจะขยายวงกว้างออกไปมากกว่าแค่การหยุดยิง โดยมีเดิมพันในระดับนานาชาติที่เข้ามารับรู้อย่าวกว้างขวาง
ท่าทีของกระทรวงการต่างประเทศไทย ที่มุ่งเน้นการเปิดเผย “ความจริง” และเชิญองค์การระหว่างประเทศเข้าตรวจสอบการปฏิบัติต่อทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัว ถือเป็นกลยุทธ์เชิงรุกที่สำคัญ การเคลื่อนไหวนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการตอบโต้ข้อกล่าวหาของกัมพูชาที่ว่าไทยทรมานและปฏิบัติต่อเชลยอย่างไร้มนุษยธรรม การนำเสนอหลักฐานเชิงประจักษ์และการยืนยันจากบุคคลที่สามอย่างมาเลเซีย ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะติดตามการหยุดยิง จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับท่าทีของไทยในเวทีโลก และเป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายกัมพูชาไปในตัว
นอกจากนี้ การที่ไทยน้นย้ำว่าการบิดเบือนข้อมูลของกัมพูชานั้น “ล้มเหลว” สะท้อนให้เห็นว่าไทยกำลังใช้“ข้อเท็จจริง” ที่ตรวจสอบได้เป็นเครื่องมือในการกดดันกัมพูชาให้หยุดการโฆษณาชวนเชื่อ และยอมรับในการละเมิดกฏหมายระกว่างประเทศ
ประเด็นการโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างโรงพยาบาลถือเป็นเรื่องร้ายแรงภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ การที่โฆษกกระทรวงฯ ยืนยันว่าไทยจะดำเนินคดีและเรียกร้องการชดใช้จากกัมพูชา “ไม่ใช่แค่ค่าเสียหาย” แต่มี “มากกว่านั้น” บ่งชี้ว่าไทยกำลังเตรียมการเพื่อนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งหากมีการพิสูจน์ได้ว่ากัมพูชาละเมิดกฎหมายสงครามจริง จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถานะและความน่าเชื่อถือของกัมพูชาในเวทีโลก
คำว่า “มากกว่านั้น” อาจหมายถึงการเรียกร้องความรับผิดชอบในทางอาญา หรือการเรียกร้องให้มีการชดใช้ในรูปแบบอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากตัวเงิน ซึ่งจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าไทยจะไม่ยอมรับการกระทำที่ผิดหลักการสากล และพร้อมที่จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง
การประชุมทวิภาคีที่มาเลเซียในวันนี้และต่อเนื่องท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียด อาจเป็นเพียงการประชุมตามหน้าที่เพื่อรักษาช่องทางการสื่อสาร แต่หากพิจารณาจากท่าทีที่แข็งกร้าวและมุ่งเน้นการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ของฝ่ายไทยแล้ว การประชุมครั้งนี้อาจเป็นเวทีที่ไทยจะใช้ในการยื่นข้อเรียกร้องและกดดันกัมพูชาให้ยอมรับความจริง และยุติการกระทำที่บิดเบือนข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการประชุมจะขึ้นอยู่กับว่าทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะลดท่าทีที่แข็งกร้าวและหันมาเจรจาอย่างจริงจังเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนหรือไม่
หลากหลายประเทศเห็นตรงกันว่า กัมพูชายังคงยืนยันในข้อกล่าวหาเดิม ๆ โดยไม่มีหลักฐานสนับสนุน การประชุมครั้งนี้อาจจบลงโดยไม่มีความคืบหน้าใด ๆ และความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอาจยิ่งทวีความตึงเครียดมากขึ้นไปอีก
สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของพรมแดนและการหยุดยิงอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการต่อสู้ทางข้อมูลข่าวสาร, การยกระดับประเด็นทางกฎหมายระหว่างประเทศ และการชิงไหวชิงพริบทางด้านการทูต ที่หลายประเทศเห็นตรงกันว่า กัมพูชากำลังจำนนกับพฤติกรรมที่ใช้สื่อโซเชียลปฏิเสธเป็นหลักมาตลอดเวลา