จาก 4-6 สิงหาคม 2568 หลังจากการประชุม GBC ระดับฝ่ายเลขานุการของทั้งสองประเทศ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไทยและกัมพูชาเตรียมลงนามในข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ซึ่งถูกมองว่าเป็นผลสำเร็จที่ไทยได้เปรียบทางยุทธศาสตร์นั้น
ข้อตกลงดังกล่าวครอบคลุมมาตรการสำคัญ เช่น การหยุดยิงเด็ดขาด การห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง และการจัดตั้งกลไกประสานงานร่วม ซึ่งสะท้อนถึงเจตจำนงของไทยในการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเจรจาในระยะยาว ขณะที่การยอมรับของกัมพูชามีปัจจัยจากแรงกดดันนานาชาติและข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ
การลงนามครั้งนี้ยังได้รับความสนใจอย่างสูงจากนานาชาติ โดยมีจีนและสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของความขัดแย้งในครั้งนี้ ทั้งสองมหาอำนาจต่างมีเป้าหมายในการขยายอิทธิพลและแสดงบทบาทในฐานะผู้สร้างสันติภาพในภูมิภาค การมีผู้สังเกตการณ์ระดับโลกจึงเป็นหลักประกันสำคัญที่ช่วยเพิ่มน้ำหนักและความน่าเชื่อถือให้กับข้อตกลง
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงหยุดยิงนี้เป็นเพียง “ก้าวแรก” ในการแก้ไขปัญหา การดำเนินการตามข้อตกลงในทางปฏิบัติจะเป็นบททดสอบที่แท้จริง โดยเฉพาะการประชุมระดับผู้บัญชาการทหารภูมิภาค (RBC) ที่ต้องเกิดขึ้นภายใน 7 วัน ซึ่งจะพิสูจน์ถึงความตั้งใจจริงของทั้งสองฝ่ายในการรักษาสันติภาพและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในพื้นที่
สันติภาพชายแดนของไทย-กัมพูชา จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เห็นว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางการทูตที่ยาวไกล แม้ข้อตกลงจะดูเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทย แต่ “กับดัก” ที่แท้จริงคือความสามารถในการแปลงข้อตกลงบนกระดาษให้เป็นการปฏิบัติที่ยั่งยืนในพื้นที่
การมีส่วนร่วมของมหาอำนาจโลกเป็นเพียงเกราะป้องกันชั้นนอก แต่การจะยุติความขัดแย้งอย่างแท้จริงได้นั้น ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของไทยและกัมพูชาในการเดินหน้าเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหารากเหง้าเรื่องเขตแดนอย่างสันติและจริงจัง สำคัญแต่ว่า ท่าทีของกัมพูชาแต่ต้นปราศจากความรับผิดชอบใด ๆ ที่ก่อขึ้น และในที่สุดจะจริงใจแค่ไหนในการแก้ปัญหา