ชนวนความขัดแย้งที่คุโชนระหว่างไทยและกัมพูชาเป็นระยะยมานาน ดูเหมือนถูกดับลงฉับพลันด้วยข้อตกลงหยุดยิงที่รวดเร็วผิดคาด
แต่ความเงียบสงบที่เห็น อาจไม่ใช่ความสงบจริง หากเป็นเพียงฉากหน้าของเวทีที่มีเงามหาอำนาจยืนทะมึนอยู่เบื้องหลัง
เมื่อมองลึกลงไป จะพบว่าสมรภูมิแห่งนี้ไม่ใช่เพียงการเผชิญหน้าระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน หากแต่เป็นสนามประลองกำลังของสหรัฐอเมริกาและจีน ที่ต่างต้องการช่วงชิงบทบาทและอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การประชุมทวิภาคีที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ จึงไม่ใช่แค่การสานต่อการเจรจา แต่เป็นการเปิดฉากเกมการทูตที่เดิมพันสูง
การปรากฏตัวของผู้สังเกตการณ์จากทั้งสหรัฐฯ และจีน เมื่อ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ
กัมพูชาซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปักกิ่งมาอย่างยาวนาน อาจเชิญจีนเข้ามาเพื่อเพิ่มน้ำหนักในการต่อรอง ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาซึ่งเคยศึกษาที่สหรัฐฯ ก็ดูจะมีความยินดีเปิดพื้นที่ทางการทหารให้กับวอชิงตันตามจังหวะที่เหมาะสม
สหรัฐฯ เองก็ไม่พลาดโอกาส ใช้การเจรจาภาษีการค้าเป็นเครื่องมือถ่วงดุลจีน พร้อมลดภาษีสินค้านำเข้าจากไทยลงเหลือเพียง 19% เท่ากับกัมพูชา เพื่อดึงกรุงเทพฯ เข้ามาอยู่ในสมการนี้
ความรวดเร็วในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง จึงอาจเป็นผลจากแรงกดดันของมหาอำนาจที่ต้องการโชว์บทบาท “ผู้รักษาสันติภาพ” ขณะเดียวกันก็รักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของตนเอง
นี่คือภาพสะท้อนของความซับซ้อนในเกมการเมืองโลก ที่เส้นแบ่งระหว่าง “สันติภาพ” และ “การจัดฉาก” บางยิ่งกว่าควันปืน
หากแรงกดดันจากมหาอำนาจคือปัจจัยสำคัญจริง ก็ต้องยอมรับว่ากัมพูชาเล่นเกมนี้อย่างชำนาญ เมื่อเกิดเหตุปะทะ ก็บอกโลกว่าถูกรังแกเพื่อเรียกเพื่อนพันธมิตรเข้าข้าง พอมีมหาอำนาจลงวงครบ ก็ปิดดีลหยุดยิงราวกับเรื่องเล็กน้อยที่แก้ได้เพียงปลายนิ้ว
ผลคือ กัมพูชาได้ทั้งภาพลักษณ์ “ผู้ถูกกระทำ” และได้อำนาจต่อรองเพิ่ม
ส่วนฝ่ายไทย ไม่จำเป็นต้องสร้างละครตบตาใคร ยืนหยัดอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาในสังคมโลกมาโดยตลอดที่นานาประเทศรับรอง
หมากกระดานนี้ อย่าเพิ่งคิดว่าฝ่ายใดจะพับเก็บหมากแล้วกลับบ้าน
มหาอำนาจไม่ได้มาเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ หากแต่มาเพื่อวางหมากตัวใหม่ให้เกมดำเนินต่อ
และบางที… “สันติภาพ” ที่เราเห็น อาจเป็นเพียงภาพลวงตาในโรงละครที่พนมเปญกำกับเอง โดยมีปักกิ่งและวอชิงตันนั่งอยู่แถวหน้า พร้อมปรบมือให้ทุกฉากที่ตัวเองมีบทเด่น
และเมื่อถึงเวลานั้น กัมพูชาจะหันหน้าไปคบใครก็ไม่มีผู้ใดเหลียวกลับมามองอีกแล้ว