ชายแดนไทย-กัมพูชาทำท่าจะดุเดือดยอดผู่เสียชีวิตพุ่งและวิกฤติการณ์การทูตสั่นคลอน
สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างรุนแรงเป็นวันที่สองติดต่อกัน ท่ามกลางรายงานความสูญเสียที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจของทั้งสองฝ่าย รวมถึงการยกระดับการตอบโต้ทางการทูตส่อเค้าว่าความขัดแย้งอาจบานปลายจนยากจะควบคุม
การปะทะได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีรายงานการใช้ทั้งอาวุธเบา ปืนใหญ่และจรวด BM-21 จากฝั่งกัมพูชา ขณะที่กองทัพอากาศไทยได้ตอบโต้ด้วยการส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ขึ้นปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถึง 2 ครั้งในพื้นที่เป้าหมายทางทหารของกัมพูชา
มีรายงานว่ามีพลเรือนเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 13 ราย รวมถึงเด็กด้วยและทหารเสียชีวิต 1 นาย นอกจากนี้ยังมีทหารได้รับบาดเจ็บ 15 นาย และพลเรือนอีก 30 ราย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการโจมตีเป้าหมายพลเรือนและโรงพยาบาลในไทยที่ถูกประณามว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ส่วนกัมพูชามีรายงานระบุว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 24 ราย ส่วนใหญ่เป็นทหาร นอกจากนี้ยังมีพลเรือนเสียชีวิต 4 ราย และพระสงฆ์ 1 รูป พร้อมด้วยผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมาก ทำให้
สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น จนต้องอพยพประชาชรออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อวิถีชีวิตและการค้าชายแดนที่ต้องหยุดชะงัก
ท่ามกลางการปะทะที่ดำเนินไปอย่างดุเดือด ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศก็เข้าสู่ภาวะวิกฤตเช่นกัน โดยกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ตัดสินใจเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับ และดำเนินการขับเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยออกนอกประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการลดระดับความสัมพันธ์
วิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการปะทะทางทหารแต่เป็นการทดสอบครั้งสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านและเสถียรภาพในภูมิภาคอาเซียน
สิ่งที่ติดตามมาให้ขบคิดและดำเนินการไม่ว่าการตกลงหยุดยิงอย่างเป็นทางการและถาวร เพื่อยุติการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและกำลังพลทั้งสองฝ่าย
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องเร่งให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจชายแดนเมื่อสถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติ
ด้วยความรุนแรงของการปะทะในขณะนี้และการขาดสัญญาณที่ชัดเจนของการเจรจาเพื่อลดความตึงเครียด คาดว่าสถานการณ์ชายแดนในวันถัด ๆ ไปในสัปดาห์นี้จะยังคงตึงเครียดสูงและมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปะทะย่อยๆขึ้นอีกในหลายพื้นที่
ยังมีเสียงวิวิจารณ์มากขึ้นและจับตาดูอย่างใกล้ชิดถึงท่าทีของผู้นำฝ่ายไทยที่เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีไม่ได้แสดงบทบาทชัดเจนในทางรุกดละตอบโต้อย่างทันการมากไปกว่าประคองสถานการณ์ไว้เท่านั้น