SCMP รายงานว่า การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลต่อกาตาร์ กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้กองทัพของชาติอาหรับต้องรวมกำลังกันอีกครั้ง ภายใต้แนวคิด “นาโตอาหรับ” (Arab Nato) โดยรายงานระบุว่า การจัดตั้งพันธมิตรทางทหารครั้งใหม่นี้กำลังอยู่ระหว่างการหารือในการประชุมสุดยอดอาหรับ-อิสลาม เพื่อตอบโต้การโจมตีของอิสราเอลโดยตรง
อียิปต์ (Egypt) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลกอาหรับ กำลังผลักดันแนวคิด “นาโตอาหรับ” ที่มีศูนย์กลางในกรุงไคโร (Cairo) ในขณะที่ปากีสถาน (Pakistan) ซึ่งเป็นรัฐมุสลิมเพียงแห่งเดียวในโลกที่มีอาวุธนิวเคลียร์ เรียกร้องให้จัดตั้งกองกำลังเฉพาะกิจร่วม เพื่อ “เฝ้าระวังแผนการของอิสราเอล (Israel) ในภูมิภาค และใช้มาตรการยับยั้งและโจมตีที่มีประสิทธิภาพอย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันแผนการขยายอิทธิพลของอิสราเอล (Israel)” นายอิสฮัค ดาร์ (Ishaq Dar) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของปากีสถาน (Pakistan) กล่าวในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดว่า “อิสราเอล จะต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” พร้อมย้ำว่า “ไม่ควรปล่อยให้อิสราเอลลอยนวลจากการโจมตีประเทศอิสลาม (Islamic countries) และสังหารประชาชนอย่างลอยนวล”
รายงานระบุว่า แรงระเบิดดังสนั่นไปทั่วกรุงโดฮา (Doha) เมืองหลวงของกาตาร์ (Qatar) จากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล (Israel) ที่พุ่งเป้าไปที่ผู้นำของกลุ่มฮามาส (Hamas) จนนำมาสู่การเตือนภัย “วงจรการนองเลือดที่ไม่มีวันสิ้นสุด”
แหล่งข่าวทางการทูตเปิดเผยว่า การประชุมสุดยอดครั้งนี้ต่อยอดมาจากกรอบความร่วมมือร่วมกันระหว่างอียิปต์ (Egypt) และซาอุดีอาระเบีย (Saudi Arabia) ที่ได้รับการอนุมัติจากสันนิบาตอาหรับ (Arab League) เพียงไม่กี่วันก่อนการโจมตีทางอากาศต่อกาตาร์ (Qatar)
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา สันนิบาตอาหรับ (Arab League) ซึ่งมีสมาชิก 22 ประเทศได้ให้การสนับสนุนแผนการความร่วมมือร่วมกัน เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย รักษาความปลอดภัยของเส้นทางการเดินเรือ และปกป้องโครงสร้างพื้นฐานทางยุทธศาสตร์ เพื่อ “เสริมสร้างเสถียรภาพของภูมิภาค”
แผนดังกล่าวถูกเร่งดำเนินการอย่างรวดเร็ว หลังการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลพุ่งเป้าไปยังอาคารที่พักอาศัยแห่งหนึ่งในกรุงโดฮา (Doha) ซึ่งเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าใช้เป็นที่พักของตัวแทนไกล่เกลี่ยของกลุ่มฮามาส (Hamas)
นายโมฮัมเหม็ด บิน อับดุลเราะห์มาน อัล-ธานี (Mohammed bin Abdulrahman Al-Thani) นายกรัฐมนตรีของกาตาร์ (Qatar) กล่าวในการเปิดการประชุมสุดยอดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 ก.ย.ว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่การโจมตีตามเป้าหมาย แต่เป็นการโจมตีหลักการของการไกล่เกลี่ย และทุกสิ่งที่การทูตเป็นตัวแทนในฐานะทางเลือกนอกเหนือจากสงครามและการทำลายล้าง”
ด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง นายอัล-ธานี (Thani) ประณาม “ประชาคมระหว่างประเทศ” หมายถึงโลกตะวันตกโดยปริยาย ว่า “ไร้ความสามารถ” ในการทำให้อิสราเอลต้องรับผิดชอบ โดยเขากล่าวว่า แทนที่จะสนับสนุนการเจรจาของกาตาร์ (Qatar) ในการหยุดยิงและปล่อยตัวประกัน อิสราเอล กลับเลือกที่จะยกระดับความรุนแรงขึ้นไปอีกขั้น
นายอัล-ธานี กระตุ้นให้ประเทศมุสลิม (Muslim countries) ใช้ “มาตรการที่แท้จริงและเป็นรูปธรรม” เพื่อยับยั้งความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต มิเช่นนั้น “เราจะพบว่าตนเองกำลังเผชิญกับวงจรการนองเลือดและการทำลายล้างที่ไม่มีวันสิ้นสุด ซึ่งไม่มีใครจะรอดพ้นได้”
ในขณะที่สหรัฐอเมริกา (US) อยู่บนเวทีการเจรจาเพียงข้างสนาม การโจมตีทางอากาศครั้งนี้ยังจุดประเด็นความสงสัยเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ค้ำประกันความมั่นคงอีกครั้ง แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะยืนยันว่าความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงของกาตาร์กับสหรัฐฯยังคงไม่เสียหาย แต่สหรัฐฯก็ไม่สามารถสกัดกั้นขีปนาวุธที่พุ่งเป้าเข้าสู่กรุงโดฮา ได้
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาหรับบางส่วนเริ่มหมดความอดทนแล้ว ตามความเห็นของ นายฮุสเซน ไอบิช (Hussein Ibish) นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันวิจัย Arab Gulf States Institute ในกรุงวอชิงตัน (Washington) ที่กล่าวถึงข้อเสนอการจัดตั้งพันธมิตรว่า “เป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนที่ชัดเจนของความตื่นตระหนก เกี่ยวกับความไม่เต็มใจและ/หรือไร้ความสามารถของวอชิงตัน (Washington) ในการทำหน้าที่เป็นผู้ค้ำประกันความมั่นคงในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพันธมิตรทางทหารอาหรับดั้งเดิม”
“ประเทศอาหรับรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกจริงๆ” นายไอบิช (Ibish) กล่าว พร้อมเสริมว่าหากสหรัฐฯ (US) เริ่มแสดงให้เห็นเงื่อนไขที่ชัดเจน ในการให้ความร่วมมือด้านความมั่นคงที่ใกล้ชิดขึ้น “พวกเขาก็จะไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องเดินหน้าในความพยายามที่ไม่คุ้นเคยและไม่สะดวกสบายในการรวมตัวทางทหารเช่นนี้” อย่างน่าประหลาดใจ โลกอาหรับกำลังมุ่งหน้าสู่ความร่วมมือในแบบที่วอชิงตัน (Washington) เคยสนับสนุนมานานแล้ว แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ สหรัฐฯ เคยมองเห็นภาพของพันธมิตรอาหรับ-อิสราเอล (Arab-Israeli alliance) เพื่อต่อต้านอิหร่าน แต่ในทางกลับกัน ตอนนี้อิสราเอล กลับกลายเป็นภัยคุกคามที่ถูกเอ่ยชื่อ
นางบาร์บารา สลาวิน (Barbara Slavin) นักวิชาการประจำศูนย์ Stimson Centre ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลาง กล่าวกับสื่อ This Week in Asia ว่านายเบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล (“ได้ก้าวไปไกลเกินไปในการโจมตีกาตาร์ ” เธอกล่าวว่า “ไม่ว่าอิสราเอล จะได้รับผลประโยชน์ระดับภูมิภาคมามากเพียงใดในช่วงสองปีที่ผ่านมา… ก็กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงจากความโหดร้ายในฉนวนกาซา (Gaza) และความเย่อหยิ่งโดยรวม” และเสริมว่า “หากสหรัฐฯ ไม่สามารถหยุดมันได้ ภูมิภาคก็ต้องพยายามเอง”
ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีกาตาร์ เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังจากที่เขาได้ร่วมรับประทานอาหารค่ำกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ภายหลังจากการหารือกับรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ (J.D. Vance) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ (Marco Rubio) แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ออกแถลงการณ์ที่เป็นสาระสำคัญใด ๆ หลังการหารือ
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 14 ก.ย. นายรูบิโอ เดินทางไปเยือนอิสราเอลเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งคาดว่าจะมีการหารือกับนายเนทันยาฮู เกี่ยวกับแผนการของอิสราเอลในการยึดครองฉนวนกาซา และผนวกเขตเวสต์แบงก์ (West Bank) ก่อนการมาถึงของเขา
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ย้ำว่ารัฐบาลทรัมป์ (Trump administration) “ไม่พอใจ” กับการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล ต่อกรุงโดฮา ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ยังห่างไกลจากการประณามอย่างโจ่งแจ้ง
นายไอบิช (Ibish) กล่าวว่า ข้อเสนอการจัดตั้งพันธมิตรทางทหารนี้เป็นเสมือน “คำร้องขอให้สหรัฐฯ กลับมามีส่วนร่วม” กับโลกอาหรับอีกครั้ง เขากล่าวเตือนว่า “วอชิงตันจะพบว่ามันมาพร้อมกับต้นทุนมหาศาลต่ออิทธิพลของสหรัฐฯ ” และยังเตือนเพิ่มเติมว่า “สหรัฐฯ อาจไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้นในท้ายที่สุด แต่ถ้าพวกเขาไม่ลงมือหยุดมันตอนนี้ พวกเขาก็จะไม่สามารถทำได้ในภายหลัง”
—
IMCT NEWS 16-9-2025