สำนักข่าวรอยเตอร์และบีบีซีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงข่าวร่วมกับนายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีสาธารณสุข ที่ทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 ว่าการฉีดวัคซีนบางชนิดให้เด็ก และการที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ใช้ยาไทลินอล มีความเสี่ยงทำให้เด็กเป็นออทิสติก ซึ่งเป็นคำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ชัดเจน
ทรัมป์แถลงข่าวแนะนำผู้หญิงตั้งครรภ์และพ่อแม่ของเด็กเล็ก ว่าอย่าใช้ยาไทลินอล ซึ่งเป็นยาแก้ปวดที่ได้รับความนิยมอย่างมาก รวมถึงแนะนำให้แพทย์ในสหรัฐอย่าจ่ายยาไทลินอลให้ผู้ป่วยที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ เพราะพาราเซตามอล ส่วนผสมหลักของยาไทลินอล ไม่มีผลดีต่อร่างกายและผู้หญิงตั้งครรภ์ควรรับสารดังกล่าวต่อเมื่อมีไข้สูงเท่านั้น
“ผมอยากจะบอกว่า อย่าใช้ยาไทลินอล และอีกอย่างที่เราอยากแนะนำคือ อย่าให้ใครฉีดสารอะไรเข้าสู่ร่างกายของลูกคุณทั้งๆ ที่คุณไม่เคยเห็นสารนั้นมาก่อนในชีวิต” ทรัมป์กล่าวอ้างอิงถึงวัคซีน โดยบอกอีกว่าเขายังเชื่อว่าวัคซีนมีผลดีต่อสุขภาพ เหมือนกับตอนที่เขาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐในสมัยแรกที่เร่งการพัฒนาวัคซีนโรคโควิด-19 ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว
ล่าสุด ทรัมป์เรียกร้องให้นำสารปรอทออกจากรายการส่วนผสมของวัคซีน และไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ทั้งที่วัคซีนดังกล่าวมักฉีดให้เด็กภายใน 24 ชั่วโมงหลังเกิด นอกจากนั้นยังแนะนำให้แพทย์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมันโดยแยกกันเป็น 3 เข็มแทนที่จะเป็นเข็มเดียว
ทีมงานของทรัมป์ยังระบุว่ายา Leucovorin ซึ่งเป็นกรดโฟลิกชนิดหนึ่ง มีส่วนช่วยรักษาอาการออทิสติก และขอให้บริษัทยาเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตยา Leucovorin เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยออทิสติก ทั้งที่ตามปกติแล้วยาดังกล่าวจะใช้ในผู้ป่วยเพื่อป้องกันสารพิษจากการรักษาโรคมะเร็งด้วยการทำคีโม
องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อ้างอิงรายงานเกี่ยวกับการใช้ Leucovorin ในผู้ป่วย 40 คนที่มีภาวะเมทาบอลิกซินโดรมที่เรียกว่า cerebral folate deficiency ที่อาจนำไปสู่การเกิดอาการทางระบบประสาทที่บางส่วนพบในผู้ป่วยออทิสติก
นอกจากนั้น FDA ยังมีแผนที่จะเปลี่ยนฉลากของยาไทลินอลที่วางขายตามร้านขายยาเพื่อแนบหลักฐานที่ชี้ว่าการใช้ยาไทลินอลในผู้ป่วยตั้งภรรค์อาจมีความเสี่ยงทำให้เด็กป่วยเป็นโรคทางระบบประสาท เช่นออทิสติกและโรคสมาธิสั้นได้
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยกล่าวว่าไม่มีหลักฐานที่หนักแน่นพอที่จะชี้ว่าการใช้ยาไทลินอลมีความเชื่อมโยงกับโรคออ
ทิสติก งานวิจัยเด็กในสวีเดนเกือบ 2.5 ล้านคนเมื่อปี 2024 ก็ไม่พบความเชื่อมโยงว่าการรับสารพาราเซตามอลจะมีส่วนทำให้เกิดความผิดปกติของการพัฒนาระบบประสาท หรือ Neurodevelopmental disorder
ดร.ไดอานา เชนเดล จากสถาบัน A.J. Drexel Autism ระบุในแถลงการณ์ว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการตั้งคำถามว่ายาไทลินอลจะมีส่วนเพิ่มความเสี่ยงให้เด็กเป็นออทิสติกหรือไม่ และเคยมีงานวิจัยหลายฉบับเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้ว แต่อยากเห็นรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยหลักฐานงานวิจัยในเรื่องนี้ เพราะหากไม่มีหลักฐานมาสนับสนุน การประกาศครั้งนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงและอันตรายต่อผู้คนมากกว่า
รัฐมนตรีสาธารณสุขเคนเนดีให้คำมั่นเมื่อเดือนเมษายนว่า จะมีการวิจัยและทดสอบครั้งใหญ่เพื่อหาสาเหตุของออทิสติกภายใน 5 เดือน ทรัมป์กล่าวว่าตัวเลขผู้ป่วยออทิสติกที่เพิ่มขึ้นเป็นวิกฤตที่เลวร้าย
แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการหาสาเหตุของออทิสติกนั้นไม่ง่าย และอาจไม่สามารถกำหนดให้เหลือแค่สาเหตุเพียงหนึ่งเดียวได้ เพราะออทิสติกเป็นโรคที่มีความซับซ้อนมาก ที่คาดว่าเป็นผลจากความผิดปกติของพันธุกรรมและปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ
กลุ่มเจ้าหน้าที่การแพทย์ในสหรัฐยังบอกด้วยว่า แพทย์ทั่วประเทศชี้ว่าไทลินอลเป็นหนึ่งในยาแก้ปวดที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ และไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการรับสารพาราเซตามอลอย่างระมัดระวัง จะทำให้เกิดความผิดปกติของการพัฒนาของเด็กระหว่างตั้งครรภ์
ส่วนหุ้นของ Kenvue บริษัทผู้ผลิตยาไทลินอลร่วงลงมากกว่า 7% ในช่วงการซื้อขายหุ้นเมื่อวันที่ 22 กันยายน โดยบริษัทได้ออกมาปฏิเสธรายงานของทรัมป์ว่ายาไทลินอลไม่ได้ทำให้เกิดออทิสติกด้วย